การ์ด Eye-Fi Pro X2 ราคาปัจจุบัน ยังน่าใช้กับกล้องรุ่นเก่าไหม?


สวัสดีพี่น้องชาวกล้องรุ่นเก๋าและมือใหม่หัวใจวินเทจทั้งหลาย! วันนี้เราจะมาคุ้ยแคะแกะเกาเรื่องราวของการ์ดในตำนานอย่าง Eye-Fi Pro X2 ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นฮีโร่กู้ชีพให้กล้องรุ่นเก่าที่ไม่มี Wi-Fi ได้ฟินกับการส่งรูปเข้ามือถือแบบไร้สาย ถ่ายปุ๊บ แชร์ปั๊บ! แต่มาถึงปี 2025 เนี่ย เจ้าการ์ดตัวนี้ยังมีที่ยืนในใจ (และในกล้อง) ของเราอยู่ไหม? ราคาตอนนี้เป็นยังไง แล้วมันยังน่าเสี่ยงน่าลองกับกล้องคู่ใจตัวเก่าของเราอยู่หรือเปล่า? มาเม้าท์มอยกันแบบหมดเปลือกตามสไตล์คนกันเองจ้า!
1. เจ้าการ์ด Eye-Fi Pro X2 มันคืออัลไล?
ถ้าใครยังไม่เคยได้ยินชื่อ Eye-Fi มาก่อนนะจ๊ะ มันคือนวัตกรรมสุดเจ๋งในยุคหนึ่งเลยแหละ คิดง่ายๆ ว่ามันคือ การ์ด SD Card ที่ที่เราใช้เก็บรูปในกล้องเนี่ยแหละ แต่พิเศษกว่าตรงที่ มันมี Wi-Fi ในตัว! แบรนด์ Eye-Fi เค้าเป็นผู้บุกเบิกเรื่องนี้เลย มาจากอเมริกาโน่น (แต่ตอนนี้ตำนานไปแล้วนะ...เดี๋ยวเล่าให้ฟัง)
หน้าที่หลักของมันก็คือ ทำให้กล้องดิจิทัลรุ่นเก่าๆ ที่ยังไม่มี Wi-Fi ในตัวเนี่ย สามารถส่งรูปถ่ายหรือวิดีโอแบบไร้สายมายังคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟนได้ทันที ไม่ต้องมานั่งถอดการ์ด เสียบ Card Reader ให้วุ่นวาย รุ่น Pro X2 เนี่ยเป็นรุ่นโปร ตัวท็อปในซีรีส์เดียวกันเลยนะจ๊ะ เค้าว่ากันว่ารองรับไฟล์ RAW ได้ด้วย (ซึ่งรุ่นธรรมดาทำไม่ได้) แถมมีฟีเจอร์เก๋ๆ อย่าง Endless Memory ที่รูปเต็มแล้วจะโอนออกไปเอง (ในทฤษฎีนะ) หรือการใส่ข้อมูล GPS ลงในรูปได้ด้วย (อันนี้ก็มีเงื่อนไขอีก) เหมาะมากสำหรับตากล้องยุคเก่าที่อยากตามเทคโนโลยี หรือคนที่มีกล้องโปรตัวเก่งที่ยังคุณภาพดีแต่ขาดการเชื่อมต่อไร้สายไปหน่อย หรือแม้กระทั่งคนที่ชอบถ่ายรูปเล่นๆ อยากได้กล้องที่คุณภาพดีกว่ามือถือ แต่ยังเป็นกล้องรุ่นเก่าที่ราคาไม่แรงจ้า
2. แล้วราคา Eye-Fi Pro X2 ในตลาดไทยปัจจุบันอยู่ประมาณไหน?
มาถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่ทุกคนรอคอย! ต้องบอกก่อนเลยว่าเจ้า Eye-Fi Pro X2 เนี่ยมันเป็นเหมือน "ของสะสม" มากกว่า "สินค้าใหม่" ในตลาดปี 2025 แล้วนะจ๊ะ เพราะแบรนด์ Eye-Fi เค้าปิดตัวและหยุดให้บริการไปนานแล้ว (อันนี้สำคัญมาก เดี๋ยวจะขยายความอีกที)
ดังนั้น ราคาที่เราเห็นตอนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นราคา "มือสอง" ทั้งนั้นเลยจ้า! ซึ่งราคาจะขึ้นอยู่กับสภาพ ความจุ (มีทั้ง 8GB และ 16GB) และผู้ขายว่าจะตั้งราคาเท่าไหร่ จากที่ลองส่องๆ ดูในแหล่งขายของมือสองออนไลน์ในไทยเนี่ย การ์ด Eye-Fi Pro X2 นานๆ ทีถึงจะโผล่มาที และราคาค่อนข้างหลากหลายมากๆ จ้า ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่ยังขายใหม่ๆ ราคาตัว 8GB ก็ราวๆ สามพันกว่าบาท ถึงสี่พันกว่าบาท ส่วน 16GB ก็อาจจะทะลุสี่พันไปหน่อยๆ
แต่มาถึงตอนนี้ ถ้าเจอขายมือสอง อาจจะเห็นราคาตั้งแต่หลักร้อยปลายๆ ไปจนถึงสองพันกว่าบาทเลยนะ (ประมาณ ฿800 - ฿2,500) อันนี้เป็นแค่ ช่วงราคาประเมินคร่าวๆ นะจ๊ะ เพราะของมันหายากและสภาพก็ไม่เหมือนกันเป๊ะๆ ไม่มีร้านค้าหลักๆ อย่าง JIB, Banana IT, Power Buy หรือแม้แต่ Official Store บน Lazada/Shopee ที่จะนำมาขายแล้วจ้า แหล่งที่พอจะเจอได้ก็จะเป็นตามกลุ่มซื้อขายกล้องมือสองใน Facebook หรือร้านค้าออนไลน์เล็กๆ ที่อาจจะมีของเก่าเก็บมาปล่อยจ้า.
3. เทียบราคากับการ์ด Wi-Fi ตัวอื่นๆ แล้วเป็นไงบ้าง?
ทีนี้ถ้าลองเอา Eye-Fi Pro X2 มือสอง ที่ราคาคาดว่าอยู่ในช่วง ฿800 - ฿2,500 เนี่ย ไปเทียบกับการ์ด Wi-Fi SD Card แบรนด์อื่นๆ ที่ยังมีขายอยู่ในตลาดปัจจุบันอย่าง Toshiba FlashAir หรือ Ez Share เนี่ย จะเห็นว่าราคา ไม่ได้หนีกันมากเท่าไหร่เลยนะจ๊ะ การ์ด Wi-Fi รุ่นใหม่ๆ บางรุ่น ราคาเริ่มต้นก็ประมาณพันกว่าบาทไปจนถึงสองพันกว่าบาทก็มีแล้วเหมือนกัน
ประเด็นคือ การ์ด Wi-Fi แบรนด์อื่นๆ ที่ยังขายอยู่ในปัจจุบันนั้น ส่วนใหญ่ ยังมีแอปพลิเคชันหรือวิธีการเชื่อมต่อที่รองรับอยู่ ทำให้ใช้งานได้ง่ายและเสถียรกว่า ในขณะที่ Eye-Fi Pro X2 แม้จะมีฟีเจอร์ที่ว้าวในอดีต แต่ด้วยความที่บริการปิดไปแล้ว การใช้งานฟีเจอร์บางอย่างอาจจะไม่ได้ หรือเชื่อมต่อยากกว่ามากๆ (เผลอๆ ใช้ไม่ได้เลย) เพราะงั้น ถ้ามองเรื่องความคุ้มค่าในการใช้งานจริงในปัจจุบัน การ์ด Wi-Fi แบรนด์อื่นที่ยังมี Support อยู่ อาจจะ คุ้มค่ากว่าในแง่ของความเสถียรและใช้งานง่าย แม้ราคาของมือหนึ่งจะใกล้เคียงกับ Eye-Fi Pro X2 มือสองก็ตามจ้า หรือถ้าไม่เน้น Wi-Fi เลย แค่ซื้อ SD Card ปกติแล้วใช้ Card Reader อันเล็กๆ ราคาแค่หลักร้อย ก็เป็นทางเลือกที่ถูกที่สุดและเชื่อถือได้แน่นอนจ้า
4. ซื้อแล้วได้อะไรบ้าง? มีประกันไหมนะ?
อันนี้แหละคือเรื่องที่ต้องทำใจสุดๆ เลยนะจ๊ะ เวลาจะซื้อ Eye-Fi Pro X2 มือสอง เนี่ย สิ่งที่มักจะได้มาก็คือ ตัวการ์ดเพียวๆ เลยจ้า อุปกรณ์เสริมอื่นๆ เช่น Card Reader (ที่ปกติจะมีมาให้ในกล่องเพื่อตั้งค่า) หรือคู่มือต่างๆ อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ แล้วแต่ผู้ขายเลย
ที่สำคัญมากๆ สำหรับคนไทยที่ซีเรียสเรื่องการรับประกันเนี่ย ต้องบอกเลยว่า ไม่มีประกันศูนย์ เหลืออยู่แล้วแน่นอน 100% จ้า เพราะแบรนด์เค้าไม่อยู่แล้ว ถ้าซื้อจากร้านค้ามือสอง เค้าอาจจะมี ประกันร้าน ให้แบบสั้นๆ มากๆ เช่น 7 วัน หรือ 30 วัน อันนี้ต้องสอบถามให้ละเอียดนะจ๊ะ แต่ถ้าซื้อจากผู้ใช้ด้วยกันเอง ส่วนใหญ่ก็คือ ไม่มีประกันใดๆ ทั้งสิ้น จ้า ซื้อแล้ววัดดวงล้วนๆ เสียคือเสีย ซ่อมไม่ได้แล้วด้วยนะ เพราะไม่มีอะไหล่และศูนย์บริการแล้วจ้า เรื่องนี้ต้องทำใจและพิจารณาความเสี่ยงให้ดีเลยนะ
ส่วนเรื่อง ค่าจัดส่ง ถ้าซื้อออนไลน์ก็มีค่าส่งตามปกติจ้า นอกจากผู้ขายจะใจดีมีโปรโมชั่นส่งฟรี ซึ่งก็ต้องลองเช็คดูนะจ๊ะ
5. มีช่วงโปรโมชั่นไหนน่าสอยเป็นพิเศษไหม?
สำหรับ Eye-Fi Pro X2 ที่เป็นสินค้ามือสองและเลิกผลิตไปนานแล้วเนี่ย การจะเจอโปรโมชั่นลดราคาแบบอลังการงานสร้างในช่วงเทศกาลใหญ่ๆ อย่าง 12.12, สงกรานต์, หรือปีใหม่ แบบเดียวกับสินค้าใหม่ๆ เนี่ย เป็นไปได้ยากมากๆ เลยจ้า
โอกาสที่จะได้ราคาดีๆ อาจจะมาจากผู้ขายรายบุคคลที่อยากปล่อยของเร็วๆ แล้วตั้งราคาแบบมิตรภาพ หรือร้านค้ามือสองเล็กๆ ที่อาจจะมีโปรโมชั่นของร้านเองเป็นครั้งคราว ซึ่งก็ไม่ได้ผูกกับเทศกาลใหญ่ๆ โดยตรงนะจ๊ะ เพราะงั้น ถ้าเล็ง Eye-Fi Pro X2 อยู่เนี่ย ไม่ต้องไปเฝ้ารอช่วงโปรโมชั่นใหญ่ๆ หรอกจ้า เจอในราคาที่เราโอเคกับสภาพและความเสี่ยงเมื่อไหร่ ก็จัดได้เลยตอนนั้นแหละ ถือเป็นความโชคดีที่เจอเนื้อคู่แล้วมากกว่าจ้า
6. คนไทยที่เคยใช้ หรือที่ยังใช้เป็นไงบ้าง?
จากเสียงตอบรับในอดีต (ช่วงที่ยังใช้งานได้เต็มที่) คนไทยหลายคนก็ว้าวกับความสามารถของ Eye-Fi นะ มันช่วยให้กล้องเก่าที่รักกลับมาเชื่อมต่อโลกออนไลน์ได้ ถ่ายปุ๊บส่งเข้ามือถือได้เลย สะดวกมากๆ บางคนชอบที่มันรองรับไฟล์ RAW ได้ด้วยในรุ่น Pro X2
แต่ก็มีฟีดแบ็กในด้านลบอยู่เหมือนกันนะ เช่น การตั้งค่ายุ่งยากซับซ้อน สัญญาณไม่ค่อยเสถียร หลุดบ่อย เชื่อมต่อติดบ้างไม่ติดบ้าง ค่อนข้างกินแบตเตอรี่กล้อง และกล้องบางรุ่นก็อาจจะไม่รองรับการ์ด Eye-Fi ด้วยนะ (อันนี้ต้องเช็ค Compatibility List ของ Eye-Fi ซึ่งตอนนี้เว็บอาจจะเข้าไม่ได้แล้ว หรือข้อมูลเก่ามากๆ)
และที่สำคัญสุดๆ ในปี 2025 นี้คือ เสียงตอบรับจากผู้ใช้ในปัจจุบัน (ถ้ายังมีคนที่พยายามใช้มันอยู่) ก็น่าจะเป็นเรื่อง การใช้งานฟีเจอร์หลายอย่างที่ต้องพึ่งพาบริการของ Eye-Fi ที่ปิดไปแล้ว ซึ่งตอนนี้ใช้ไม่ได้แล้ว เช่น การอัปโหลดขึ้น Cloud โดยตรง, การตั้งค่าผ่าน Eye-Fi Center เวอร์ชันใหม่ๆ ที่ต้องล็อกอิน (ซึ่งเซิร์ฟเวอร์ปิดไปแล้ว), ฟีเจอร์ Geotagging บางอย่าง หรือ Endless Memory ที่ต้องทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์ แม้โหมด Direct Mode ที่เชื่อมต่อตรงระหว่างการ์ดกับมือถือ/คอมฯ อาจจะยังพอใช้งานได้ในบางกรณีถ้ามีแอปเก่าๆ หรือวิธีอื่นที่ทำให้มันเชื่อมต่อกันได้ แต่ก็ไม่รับประกันความเสถียรและความเข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการใหม่ๆ นะจ๊ะ
7. แล้วจะไปหาซื้อ Eye-Fi Pro X2 ได้จากช่องทางไหนล่ะ?
อย่างที่บอกไปจ้าว่าเจ้าการ์ดตัวนี้มันกลายเป็นของแรร์ไปแล้ว ช่องทางหลักๆ ที่พอจะมีความหวังในการตามล่าหาซื้อก็คือ:
- แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่ (แบบส่องหา): ลองเข้าไปดูใน Shopee หรือ Lazada แล้วใช้คีย์เวิร์ดว่า "Eye-Fi Pro X2 มือสอง" หรือ "การ์ด Eye-Fi" ดูนะจ๊ะ อาจจะมีผู้ขายรายย่อยนำมาลงขายบ้าง แต่ต้องขยันส่องหน่อยนะ ข้อดีคือมีระบบกลางช่วยเรื่องการจ่ายเงิน แต่ข้อเสียคือเราไม่เห็นของจริงก่อน อาจจะต้องคุยกับผู้ขาย ขอดูรูป/วิดีโอสภาพให้ละเอียด
- กลุ่มซื้อขายกล้องมือสองใน Facebook: อันนี้เป็นแหล่งที่ดีมากๆ ในการตามหาของมือสองเลยนะ มีคนนำอุปกรณ์กล้องต่างๆ มาปล่อยอยู่เรื่อยๆ ลองตั้งกระทู้ตามหา หรือเข้าไปดูในกลุ่มต่างๆ ดูนะจ๊ะ ข้อดีคือมักจะคุยกับผู้ใช้ด้วยกันเองโดยตรง สอบถามข้อมูลได้ละเอียด และบางทีนัดเจอเพื่อเช็คของก่อนจ่ายเงินได้ ซึ่งปลอดภัยที่สุดจ้า
- ร้านกล้องมือสองเฉพาะทาง: ในกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่ๆ อาจจะมีร้านที่รับซื้อขายกล้องและอุปกรณ์มือสอง ลองสอบถามดูนะจ๊ะ อาจจะมีหลุดมาบ้าง ข้อดีคือได้เห็นและลองเช็คของจริงก่อนซื้อ แต่ราคาก็อาจจะสูงกว่าแหล่งอื่นเล็กน้อยนะ
ส่วนช่องทาง Official หรือร้านใหญ่ๆ อย่าง JIB, Banana IT, Power Buy นี่ข้ามไปได้เลยจ้า เค้าไม่มีขายแล้วแน่นอน.
8. สรุปแล้ว Eye-Fi Pro X2 ราคาปัจจุบัน ยังน่าใช้ไหม? เหมาะกับใคร?
มาถึงคำถามสำคัญที่จั่วหัวไว้เลย! ถามตรงๆ ว่า Eye-Fi Pro X2 ในปี 2025 ยังน่าใช้กับกล้องรุ่นเก่าอยู่ไหม? ถ้าให้ตอบแบบตรงไปตรงมา ไม่ต้องอ้อมค้อมตามสไตล์เราคือ "สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว...ไม่ค่อยน่าใช้เท่าไหร่แล้วนะจ๊ะ"
เหตุผลหลักเลยก็คือ บริการและซอฟต์แวร์หลักของ Eye-Fi มันปิดตัวไปหมดแล้วจ้า ทำให้ฟีเจอร์เด่นๆ ที่เคยเป็นจุดขายอย่างการอัปโหลดขึ้น Cloud, Endless Memory, Geotagging ผ่านระบบของ Eye-Fi หรือแม้กระทั่งการตั้งค่าผ่านแอปพลิเคชัน Eye-Fi Center เวอร์ชันใหม่ๆ ที่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์เนี่ย ตอนนี้ใช้ไม่ได้แล้ว การใช้งานหลักๆ ที่อาจจะยังพอทำได้คือโหมด Direct Mode ที่เชื่อมต่อตรงระหว่างการ์ดกับอุปกรณ์เรา ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความเข้ากันได้ของกล้องแต่ละรุ่น และอุปกรณ์ปลายทาง รวมถึงต้องหาวิธีเชื่อมต่อหรือแอปเก่าๆ ที่ยังพอใช้ได้ ซึ่งก็ไม่รับประกันความเสถียรเลยนะจ๊ะ แถมยังไม่มีประกันศูนย์อีก ซื้อมาแล้วเสียคือจบเลย
แล้วมันยังเหมาะกับใครอยู่บ้างล่ะ? อาจจะเหมาะกับ:
- นักสะสม: ซื้อเก็บเพราะเป็นตำนาน เป็นนวัตกรรมที่เคยมีบทบาทในอดีต ไม่ได้กะเอามาใช้งานจริงจัง
- คนที่ชอบลองของ/นักดัดแปลง: เป็นคนที่มีความรู้ด้านเทคนิคพอสมควร อาจจะหาวิธีทำให้โหมด Direct Mode ทำงานได้กับอุปกรณ์ปัจจุบันได้สำเร็จ (ซึ่งก็ต้องไปงมเอาเองนะจ๊ะ) และยอมรับความเสี่ยงได้สูงมากๆ
แต่ถ้าคุณเป็นคนที่แค่อยากได้วิธีส่งรูปจากกล้องเก่าเข้ามือถือแบบง่ายๆ สะดวกๆ แนะนำให้มองหา การ์ด Wi-Fi แบรนด์อื่นที่ยังมีขายและมี Support อยู่ (เช่น Toshiba FlashAir หรือ Ez Share) หรือถ้ากล้องรองรับ อาจจะมองหา Adapter แปลงการ์ดที่สามารถใส่ Micro SD Wi-Fi เข้าไปได้ หรือวิธีที่ง่ายและชัวร์ที่สุด คือ ใช้ Card Reader คุณภาพดีๆ เสียบเข้าคอมฯ หรือมือถือโดยตรงเลยจ้า สะดวก เร็ว และไม่มีปัญหากวนใจเรื่องสัญญาณหลุดหรือแอปใช้ไม่ได้แน่นอน
สรุปคือ Eye-Fi Pro X2 ราคาปัจจุบัน (มือสอง) แม้จะไม่แรงเท่าตอนออกใหม่ๆ แต่ก็ยังถือว่ามีความเสี่ยงสูงมากๆ ในการนำมาใช้งานจริงในยุคนี้ ฟังก์ชันหลักที่เคยโดดเด่นใช้ไม่ได้แล้ว ประกันไม่มี ความเสถียรไม่แน่นอน ซื้อการ์ด SD ธรรมดาดีๆ สักใบ หรือการ์ด Wi-Fi แบรนด์อื่นที่ยังมี Support ดูจะเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าและสบายใจกว่าเยอะเลยจ้า
หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจนะจ๊ะ ขอให้ทุกคนสนุกกับการถ่ายรูป และได้อุปกรณ์ที่ถูกใจ เหมาะกับการใช้งานของตัวเองจ้า! ไปแล้วนะ บ๊ายบาย!
วิดีโอที่เกี่ยวข้อง
แนะนำสำหรับคุณ
ครีม Smooth E ราคาล่าสุดปี 2025 แก้ปัญหาผิว จุดด่างดำ รอยแผลเป็น ได้จริงไหม?
Toyota Sienna ราคาล่าสุดในไทย อัปเดตทุกรุ่นย่อยก่อนใคร!
Physiogel AI Cream ราคาล่าสุด หาซื้อได้ที่ไหน ลดราคาอยู่ไหม?
มอเตอร์ไซค์ Kawasaki Z400 ราคาล่าสุด ผ่อนดาวน์เริ่มต้นเท่าไหร่?
ราคา Dice Cup อุปกรณ์เสริมสำหรับ Board Game ซื้อแบบไหนดี
เป๊ปซี่ขวดเล็ก ราคาล่าสุด ซื้อแบบแพ็คถูกกว่าจริงไหม คุ้มกว่า?