Wasteland 2 Director's Cut รีวิว: คุ้มค่ากับการกลับไปเล่นอีกครั้งหรือไม่?


ชาวเกมเมอร์ทั้งหลาย! วันนี้เราจะมาเมาท์มอยถึงเกม RPG แนว Post-Apocalyptic ในตำนานที่หลายคนน่าจะเคยได้ยินชื่ออย่าง Wasteland 2 Director's Cut ว่าสรุปแล้วเวอร์ชันนี้มันน่าโดน น่ากลับไปเล่นซ้ำ หรือเหมาะกับคนที่ยังไม่เคยสัมผัสขนาดไหนกันแน่ บอกเลยว่าบทความนี้จะพาไปเจาะลึกแบบบ้านๆ สไตล์คนเล่นเกมจริง ไม่เน้นศัพท์แสงยุ่งยาก พร้อมเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดๆ ไปเลย!
1. ภาพรวมผลิตภัณฑ์: รู้จัก Wasteland 2 Director's Cut กันหน่อย
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักเกมนี้กันแบบคร่าวๆ ก่อน ตัวเกมหลัก Wasteland 2 เนี่ยออกมาตั้งแต่ปี 2014 โน่นแน่ะ พัฒนาโดย inXile Entertainment ซึ่งเป็นทีมที่เคยสร้างเกม Fallout ภาคแรกในตำนานด้วยนะ ส่วน Director's Cut นี่ก็เหมือนเป็นเวอร์ชันอัปเกรด ปรับปรุงใหม่ให้ไฉไลกว่าเดิม ออกมาในปี 2015 มีให้เล่นทั้งบน PC (Windows, macOS, Linux), PlayStation 4, Xbox One และ Nintendo Switch
Wasteland 2 Director's Cut เป็นเกมแนว RPG มุมมองด้านบน (Isometric) ที่เน้นการวางแผนแบบเทิร์นเบส (Turn-based Tactical Combat) เราจะรับบทเป็นหน่วย Desert Rangers หน้าใหม่ในโลกหลังหายนะนิวเคลียร์ที่อารยธรรมล่มสลายไปแล้ว ตัวเกมเน้นการตัดสินใจที่มีผลต่อเนื้อเรื่องสุดๆ และการสร้างทีม Ranger ที่มีสกิลหลากหลายเพื่อเอาตัวรอดในดินแดนรกร้าง
ตำแหน่งในตลาด: จัดว่าเป็นเกม Hardcore RPG ย้อนยุคหน่อยๆ เหมาะกับแฟนเกมแนว Fallout ภาคเก่าๆ หรือคนชอบเกมที่ต้องใช้สมองวางแผนเยอะๆ
จุดเด่นของ Director's Cut (ที่อัปเกรดจากภาคธรรมดา):
- กราฟิกสวยขึ้น: ปรับปรุงเอนจิ้นเกมไปใช้ Unity 5 ทำให้ภาพดูดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ
- มีเสียงพากย์เยอะขึ้น: เพิ่มเสียงพากย์ตัวละครและเพื่อนร่วมทีมไปกว่า 8,000 บรรทัด! ฟังเพลินกว่าเดิม
- ระบบต่อสู้ดีขึ้น: เพิ่มระบบโจมตีเฉพาะจุด (Precision Strikes) และปรับสมดุลให้ดีกว่าเดิม
- เพิ่ม Perks & Quirks: ใส่ความสามารถพิเศษและข้อด้อยเฉพาะตัวให้ตัวละคร ทำให้สร้างทีมได้หลากหลายและมีมิติขึ้น
- ปรับปรุง UI และการใช้งาน: ทำให้มือใหม่เข้าถึงง่ายขึ้น
2. ดีไซน์ & รูปลักษณ์ภายนอก: ไม่ใช่สายสวย แต่เน้นบรรยากาศดิบๆ
พูดถึงเรื่องภาพ Wasteland 2 อาจจะไม่ได้สวยอลังการแบบเกมสมัยใหม่ที่เน้นความสมจริงเว่อร์วังอะไรขนาดนั้น แต่ Director's Cut ก็ปรับปรุงกราฟิกให้ดูดีขึ้นมาก ใช้เอนจิ้น Unity 5 ทำให้สภาพแวดล้อมและตัวละครดูมีรายละเอียดมากขึ้น บรรยากาศในเกมมันจะออกแนวแห้งแล้ง โทรมๆ ตามสไตล์โลกหลังหายนะ มองจากมุมสูงลงมา (Isometric) เห็นภาพรวมฉากได้ชัดเจน
อินเทอร์เฟซหรือหน้าจอเมนูต่างๆ ในเวอร์ชัน Director's Cut ก็ปรับปรุงให้ดูสะอาดตาและใช้งานง่ายขึ้น เหมาะกับการเล่นบนหลายๆ แพลตฟอร์มด้วย
ส่วนเรื่องขนาดและน้ำหนัก... อันนี้เป็นเกมดิจิทัลเนอะ โหลดเอา ไม่ต้องยกเครื่องให้ปวดหลังเหมือนสมัยก่อนที่ต้องแบกแผ่นหรือยกเคสคอมไปร้านเกมแล้ว! แต่พื้นที่ที่ใช้ในการติดตั้งก็ประมาณ 30 GB นะ เตรียมเคลียร์พื้นที่ HDD/SSD ไว้ด้วยล่ะ
3. ประสบการณ์ในการใช้งานฟังก์ชันหลัก: RPG สายลึกที่ต้องคิดทุกก้าว
หัวใจหลักของ Wasteland 2 คือความเป็น RPG ที่เข้มข้น เราต้องสร้างทีม Ranger 4 คนขึ้นมาตั้งแต่ต้น กำหนดค่าพลัง (Attributes) และเลือกสกิลต่างๆ ซึ่งมีให้เลือกเยอะมากจนตาลาย ตั้งแต่สกิลต่อสู้ด้วยอาวุธปืนสารพัดแบบ สกิลเจรจาหว่านล้อม (Kiss Ass, Smart Ass, Hard Ass) สกิลช่างกล สกิลหมอ สกิลแฮกคอมฯ คือเยอะจริงจัง
การเล่นจะแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักๆ:
- การสำรวจโลกกว้าง: เราจะเดินทางไปตามจุดต่างๆ บนแผนที่โลก มีเหตุการณ์สุ่มเกิดขึ้นได้ตลอด ต้องคอยบริหารทรัพยากรอย่างน้ำและเสบียง เจอ NPC ก็คุยกัน ส่วนใหญ่จะมีทางเลือกบทสนทนาเยอะมาก และการเลือกตอบของเราส่งผลกระทบต่อเควสและโลกในเกมจริงๆ นะ ไม่ใช่แค่ตัวเลือกหลอกๆ
- การต่อสู้แบบเทิร์นเบส: เวลาเจอศัตรู เกมจะตัดเข้าสู่โหมดต่อสู้แบบเทิร์นเบส คล้ายๆ เกม XCOM หรือ Fallout ภาคเก่า ต้องวางแผนการเคลื่อนที่ การใช้ Action Point (AP) ในการยิงหรือใช้สกิล การหาที่กำบังนี่สำคัญมาก ถ้ายืนโล่งๆ มีหวังโดนยิงพรุน เวอร์ชัน Director's Cut เพิ่มระบบ Precision Strikes ที่ทำให้เราเลือกยิงส่วนต่างๆ ของร่างกายศัตรูได้ เช่น ยิงแขนให้ถือปืนไม่ได้ หรือยิงขาให้เดินช้าลง เพิ่มความหลากหลายในการวางแผนการต่อสู้
สิ่งที่เกมนี้ทำได้ดีมากๆ คือการตัดสินใจของเราส่งผลต่อเหตุการณ์ต่างๆ ในเกมจริงๆ มีหลายเควสที่เราต้องเลือกระหว่างช่วยเหลือเมือง A หรือเมือง B ซึ่งเลือกแล้วอีกเมืองอาจจะซวยไปเลยก็ได้ มันทำให้เรารู้สึกว่าการกระทำของเรามีความหมายจริงๆ ในโลกที่โหดร้ายใบนี้
4. ประสบการณ์การใช้งาน & ความง่ายในการใช้: มือใหม่อาจมีงง แต่ถ้าจับจุดได้จะสนุก
สำหรับคนที่ไม่เคยเล่นเกมแนว CRPG แบบคลาสสิกมาก่อน Wasteland 2 อาจจะมีความชันในการเรียนรู้ (Learning Curve) อยู่บ้าง เพราะระบบมันค่อนข้างซับซ้อน ทั้งเรื่องสกิล ค่าพลัง การต่อสู้ที่ต้องบริหาร AP และการเลือกบทสนทนาที่ส่งผลเยอะ ช่วงแรกๆ อาจจะต้องลองผิดลองถูกหน่อย
แต่เวอร์ชัน Director's Cut ก็พยายามทำให้เข้าถึงง่ายขึ้นนะ หน้าตา UI ดูกระชับขึ้น ระบบการควบคุมบนจอยคอนโซลก็ทำออกมาได้ดี (แต่บน Switch บางคนบอกว่าตัวหนังสือเล็กไปหน่อย) ถ้าเล่นบน PC ก็ใช้เมาส์คีย์บอร์ดตามสไตล์เกมเมอร์ไทยที่ถนัดกันนั่นแหละ สบายบรื๋อ
เรื่องความลื่นไหลของเกม ตัวเกมไม่ได้ใช้สเปกเครื่องสูงมากนะ คอมพิวเตอร์ทั่วไปก็เล่นได้สบายๆ (ถ้าไม่ใช่เครื่องเก่าเก็บจริงๆ) เสียงประกอบและเพลงในเกมทำได้ดี เข้ากับบรรยากาศโลกหลังหายนะสุดๆ ผลงานจาก Mark Morgan คนทำเพลง Fallout 1+2 เลยนะ! ฟังแล้วได้ฟีลลิ่งเลย
5. แบตเตอรี่ / พลังงาน / ความคุ้มค่าในระยะยาว: เล่นกันยาวๆ ลืมวันลืมคืน
อันนี้เป็นเกม PC/Console เนอะ ไม่ได้ใช้แบตเตอรี่เหมือนมือถือหรือโน้ตบุ๊ก แต่พูดถึงเรื่องความคุ้มค่าในระยะยาวนี่บอกเลยว่า Wasteland 2 Director's Cut นี่จัดเต็ม
ระยะเวลาการเล่น: เควสหลัก เควสรอง คุยกับ NPC สำรวจแมพทั้งหมด กว่าจะจบจริงๆ นี่มี 80 ชั่วโมง+ แน่นอน บางคนเล่นไป 100 กว่าชั่วโมงก็มี คือเล่นได้จุใจยาวๆ ยิ่งกว่าดูซีรีส์เกาหลีหลายๆ เรื่องรวมกันอีก
ความคุ้มค่า: ด้วยความที่เกมมีทางเลือกเยอะมาก การตัดสินใจของเราส่งผลต่อเนื้อเรื่อง ทำให้การกลับไปเล่นซ้ำ (Replayability) สูงมาก เล่นรอบแรกไปทางนึง รอบสองลองเลือกอีกแบบ เนื้อเรื่องก็เปลี่ยนไป ได้เจอเหตุการณ์ใหม่ๆ NPC ใหม่ๆ คือเล่นได้หลายรอบโดยไม่เบื่อเลย
เทียบกับราคาเกม RPG ทั่วไปที่บางเกมเล่นแป๊บเดียวจบ Wasteland 2 นี่ถือว่าคุ้มค่าเงินมากๆ ยิ่งถ้าซื้อตอนลดราคาตามเทศกาลต่างๆ บน Steam หรือแพลตฟอร์มอื่นนี่เรียกว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
6. ข้อดี-ข้อเสีย: มีทั้งที่ชอบและที่อาจจะแอบหงุดหงิด
ว่ากันตามตรง เกมทุกเกมก็มีทั้งส่วนที่เจ๋งและส่วนที่อาจจะยังไม่สุดเนอะ Wasteland 2 Director's Cut ก็เช่นกัน มาดูกันชัดๆ เลย:
ข้อดีเด็ดๆ ที่ชาวไทยน่าจะชอบ:
- เนื้อเรื่องเข้มข้น ตัวเลือกเยอะ: ชอบไม่ชอบใคร ฆ่าได้ พูดดีด้วยได้ ผลลัพธ์ต่างกัน สะใจสายเน้นเนื้อเรื่อง
- ระบบ RPG ลึกซึ้ง: สร้างตัวละครได้อิสระ จัดทีมได้หลายแบบ สายบู๊ สายพูด สายช่าง เลือกได้หมด
- ต่อสู้สนุก วางแผนมันส์: ระบบเทิร์นเบสที่ต้องคิดเยอะ การใช้ที่กำบัง การเลือกโจมตีศัตรู ทำให้ไม่น่าเบื่อ
- เล่นได้ยาวๆ: 80+ ชั่วโมง แค่รอบแรกก็คุ้มค่าเงินแล้ว
- บรรยากาศโลกหลังหายนะได้ใจ: เพลงประกอบดี ฉากต่างๆ ดูสมจริง (ตามสไตล์กราฟิกเกม)
ข้อเสียที่อาจทำให้ลังเลใจ:
- กราฟิกไม่ได้สวยอลังการมาก: ถ้าเน้นเกมภาพสวยจัดๆ อาจจะไม่ใช่แนว
- ต้องอ่านเยอะ: บทสนทนาและ Text ในเกมเยอะมาก ถ้าไม่ชอบอ่านอาจจะเหนื่อยหน่อย
- ช่วงแรกอาจจะงงๆ ระบบ: มือใหม่ต้องใช้เวลาเรียนรู้และทำความเข้าใจระบบต่างๆ
- มีบั๊กบ้างประปราย: ถึง Director's Cut จะแก้ไปเยอะ แต่ก็ยังมีบั๊กเล็กๆ น้อยๆ ให้เห็นบ้าง
- บางทีการควบคุมบนคอนโซลอาจจะยังไม่ถนัดเท่า PC: โดยเฉพาะบน Switch ที่ตัวหนังสือเล็ก
7. เหมาะกับใคร & คำแนะนำในการซื้อ: ถ้าใช่แนวก็จัดเลย!
จากที่เล่ามาทั้งหมด Wasteland 2 Director's Cut เหมาะกับคนกลุ่มนี้มากๆ:
- แฟนเกม RPG รุ่นเก๋า: โดยเฉพาะคนที่เคยเล่น Fallout 1, 2 หรือเกมแนว CRPG คลาสสิกอื่นๆ มาก่อน
- คนชอบเกมที่เน้นเนื้อเรื่องและตัวเลือก: อยากเล่นเกมที่การตัดสินใจของเรามีความหมายจริงๆ
- คนชอบเกมวางแผนการต่อสู้แบบเทิร์นเบส: สนุกกับการจัดทีม วางตำแหน่ง และคิดกลยุทธ์ในทุกเทิร์น
- คนที่มีเวลาเล่นเกมเยอะ: เพราะเกมมันยาวจริงจัง
แต่ถ้าคุณเป็นสายเน้นกราฟิกสวยงามอลังการ ชอบเกมแอ็กชันรวดเร็ว หรือไม่ชอบอ่าน Text เยอะๆ เกมนี้อาจจะยังไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่
ควรซื้อเลยไหม? ถ้าคุณเป็นกลุ่มเป้าหมายที่บอกไปด้านบน แล้วเห็นเกมลดราคาอยู่บนแพลตฟอร์มที่คุณมี จัดเลยไม่ผิดหวัง! โดยเฉพาะช่วงเทศกาลเกมต่างๆ อย่าง Steam Summer Sale, Winter Sale หรือโปรโมชั่นบน PlayStation Store, Xbox Store, Nintendo eShop มักจะมีลดราคาอยู่เรื่อยๆ คุ้มค่ายิ่งกว่าเดิมอีก!
8. เปรียบเทียบกับสินค้าคล้ายๆ กัน: มองหาตัวเทียบเคียง
ในตลาดเกม RPG มุมมองด้านบนที่มีการต่อสู้แบบเทิร์นเบส เกมที่คนมักจะนึกถึงหรือเอามาเทียบกับ Wasteland 2 ก็คือ:
- Fallout 1 & 2: นี่คือต้นตำรับเลย Wasteland 2 เป็นเหมือนภาคต่อทางจิตวิญญาณของ Fallout ภาคแรกๆ ทั้งบรรยากาศโลกหลังหายนะและระบบการเล่น ถ้าชอบสองภาคนี้ Wasteland 2 คือของหวานเลย
- Divinity: Original Sin (และภาค 2): เป็นเกม CRPG เทิร์นเบสที่ดังมากเหมือนกัน แต่จะเน้นแฟนตาซีมากกว่าโลกหลังหายนะ ระบบต่อสู้มีความซับซ้อนและสนุกคล้ายๆ กัน แต่เนื้อเรื่องและโทนเกมต่างกันชัดเจน
- XCOM series: ถ้าชอบแค่ระบบต่อสู้แบบเทิร์นเบส เน้นการวางแผนกลยุทธ์ การใช้ที่กำบัง XCOM คือตัวเลือกที่ดี แต่จะไม่มีองค์ประกอบ RPG การสำรวจโลกกว้าง หรือตัวเลือกบทสนทนาที่ซับซ้อนเท่า Wasteland 2
ถ้าเทียบกับ Wasteland 3 ภาคต่อที่ออกมาปี 2020 ภาค 3 จะมีกราฟิกที่ทันสมัยขึ้น มีระบบ Co-op และมีการนำเสนอที่เข้าถึงง่ายกว่า แต่เสน่ห์ความคลาสสิกและความดิบของภาค 2 ก็ยังเป็นที่ถูกใจแฟนๆ บางส่วนอยู่
9. บริการหลังการขายและช่องทางการซื้อ: ซื้อง่าย โหลดไว
เนื่องจากเป็นเกมดิจิทัล การรับประกันหรือบริการหลังการขายจะต่างจากสินค้าทั่วไปหน่อย ถ้าซื้อผ่านแพลตฟอร์มหลักๆ อย่าง Steam, PlayStation Store, Xbox Store, Nintendo eShop หรือ GOG.com ก็จะมีระบบรองรับมาตรฐาน เช่น การขอคืนเงิน (ถ้าเข้าเงื่อนไข) หรือการอัปเดตแพตช์แก้บั๊กต่างๆ จากผู้พัฒนา ไม่ต้องกังวลเรื่องของปลอมหรือไม่มีประกันเหมือนสินค้าแฟชั่นนะ
ช่องทางการซื้อหลักๆ:
- Steam (PC/Mac/Linux): เป็นที่นิยมสุดบน PC มีลดราคาบ่อยมาก
- PlayStation Store (PS4/PS5): ซื้อผ่านร้านค้าในเครื่องได้เลย
- Microsoft Store (Xbox One/Series X|S/PC - Play Anywhere): บางครั้งมีโปร Xbox Play Anywhere ซื้อครั้งเดียวเล่นได้ทั้ง Xbox และ PC
- Nintendo eShop (Switch): เล่นแบบพกพาได้สะดวก
- GOG.com (PC/Mac/Linux): สำหรับคนชอบเกมแบบ DRM-Free (ไม่ต้องต่อเน็ตตอนเล่น)
ข้อดีของการซื้อแบบดิจิทัลคือ สะดวก รวดเร็ว ซื้อเสร็จโหลดเกมมาเล่นได้เลย ไม่ต้องรอส่งของ แถมช่วงเทศกาลหรือโปรโมชั่นใหญ่ๆ ราคาจะดีมากๆ บางทีลดมากกว่า 70-80% เลยนะ คุ้มยิ่งกว่าได้คูปองส่วนลด 100 บาทตอนช้อปปิ้งออนไลน์อีก!
10. บทสรุปและคำแนะนำในการซื้อ: สรุปแล้วน่าโดนไหม?
หลังจากได้ลองสัมผัส Wasteland 2 Director's Cut มาอย่างละเอียดแล้ว ถ้าถามว่า "คุ้มค่ากับการกลับไปเล่นอีกครั้งหรือไม่?" หรือ "น่าลองสำหรับมือใหม่ไหม?" ขอสรุปแบบฟันธงตรงๆ เลยว่า:
ถ้าคุณเป็นแฟนเกมแนว RPG ตะวันตกแบบคลาสสิก ชอบการวางแผนการต่อสู้แบบเทิร์นเบส และอินกับเนื้อเรื่องเข้มข้น การตัดสินใจที่มีผลลัพธ์ตามมา ไม่กลัวเกมที่ต้องอ่านเยอะๆ และมีเวลาให้เกมอย่างเต็มที่ Wasteland 2 Director's Cut คุ้มค่าน่าโดนมากๆ!
สำหรับคนที่เคยเล่นเวอร์ชันเก่ามาแล้ว Director's Cut ก็มีการปรับปรุงหลายจุด ทั้งกราฟิก เสียงพากย์ ระบบต่อสู้ และ UI ที่ทำให้ประสบการณ์การเล่นดีขึ้น อาจจะไม่ได้รู้สึกว้าวขนาดเป็นเกมใหม่เอี่ยม แต่ก็ทำให้การกลับไปสำรวจโลกหลังหายนะอีกครั้งสนุกและลื่นไหลกว่าเดิม
คำแนะนำเฉพาะ:
- สำหรับผู้เริ่มต้นแนว CRPG: อาจจะต้องใช้ความอดทนในการเรียนรู้ระบบช่วงแรกๆ แต่ถ้าผ่านไปได้ คุณจะได้สัมผัสกับเกม RPG ชั้นดีที่มีความลึกซึ้งไม่เหมือนใคร
- สำหรับคนงบน้อย: รอลดราคาเลย คุ้มสุดๆ
สรุปคือ Wasteland 2 Director's Cut ไม่ใช่เกมที่ "สวย" ที่สุด ไม่ใช่เกมที่ "เล่นง่าย" ที่สุด แต่เป็นเกม RPG ที่มี "จิตวิญญาณ" และ "ความลึกซึ้ง" แบบที่หาได้ยากในเกมยุคปัจจุบัน ถ้าคุณพร้อมที่จะดำดิ่งไปในโลกที่โหดร้ายแต่เต็มไปด้วยเรื่องราวน่าสนใจ เกมนี้จะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน!
วิดีโอที่เกี่ยวข้อง
แนะนำสำหรับคุณ
รีวิว iPhone 13 ปี 2025: คุ้มค่าน่าซื้อไหม?
รีวิว X Cute Me: ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ราคาดี คุณภาพเกินคาด
Fresh Black Tea Mask รีวิว: มาส์กหน้าใส ฟูอิ่ม เห็นผลในครั้งแรก?
รีวิว Xiaomi Air Purifier 2S: เครื่องฟอกอากาศดีไซน์มินิมอล กรองอากาศสะอาด
รีวิว Samsung 32N4300 ทีวี HD 32 นิ้ว: ขนาดกะทัดรัด ภาพชัด เหมาะกับห้องเล็กไหม?
Garmin GDR E530 รีวิวกล้องติดรถยนต์: ชัด ทน อุ่นใจทุกการเดินทางไหม?