รีวิว Ninebot ES2: สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า Ninebot วิ่งได้ไกลแค่ไหน? น่าใช้ไหม?


สวัสดีค่าทุกคน! วันนี้เราจะมารีวิวของเล่นใหม่ เอ้ย! พาหนะคู่ใจคนเมืองยุคนี้ นั่นก็คือ สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า Ninebot ES2 นั่นเอง! หลายคนคงเคยเห็นตามท้องถนน หรือตามรีวิวต่างๆ แล้วก็มีคำถามในใจว่า เจ้านี่มันวิ่งได้ไกลแค่ไหนกันเชียว? แล้วน่าสอยมาใช้ในชีวิตประจำวันจริงๆ ไหม? วันนี้จะมาเล่าให้ฟังแบบหมดเปลือก สไตล์เพื่อนเม้าท์มอยกันเลยจ้า เตรียมตัวให้พร้อม แล้วไปซิ่งด้วยกันเลย!
1. ภาพรวมของ Ninebot ES2: หน้าตาดี สเปกพอใช้ได้?
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักคร่าวๆ กับน้องคนนี้กันก่อนนะ
แบรนด์: Ninebot by Segway (ชื่อนี้ไว้ใจได้เรื่องยานพาหนะไฟฟ้า)
รุ่น: ES2
ปีที่วางขาย: ออกมาได้พักใหญ่แล้วนะ ถือเป็นรุ่นยอดฮิตติดลมบนเลย
ช่วงราคา: อยู่ที่ประมาณหมื่นปลายๆ - สองหมื่นต้นๆ แล้วแต่โปรโมชั่นและร้านค้า (เช็คดีๆ มีส่วนลดเพียบ)
ตำแหน่งสินค้า: เรียกว่าเป็นรุ่นเริ่มต้น-กลาง สำหรับคนเมืองที่อยากได้สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าคู่ใจไว้เดินทางใกล้ๆ ไม่ไกลมาก เน้นพกพาสะดวก เหมาะกับใครที่อยากลองเข้าวงการ E-Scooter แบบจริงจัง แต่ยังไม่ถึงขั้นโปร
จุดเด่นหลักๆ ที่เคลมไว้:
- วิ่งได้ไกลพอตัว (เดี๋ยวเจาะลึกเรื่องระยะทางให้)
- พับเก็บง่าย พกพาสะดวก
- มีโช้คหน้า-หลัง ขับขี่นุ่มนวลขึ้น (เค้าว่างั้นนะ)
- มียางตัน ไม่ต้องกลัวยางรั่ว!
- เชื่อมแอปฯ ได้ ปรับนู่นนี่นั่นได้ด้วย
2. ดีไซน์ & รูปลักษณ์ภายนอก: หล่อ เท่ พับได้!
ต้องบอกเลยว่า Ninebot ES2 เนี่ย ดีไซน์เค้าทำออกมาได้ดูมินิมอล เท่มาก สี Dark Gray ก็ดูดีไม่เบา ไม่ได้ดูเป็นของเล่นเด็กๆ เลย วัสดุก็แข็งแรงใช้ได้ เฟรมเป็นอลูมิเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ทำเครื่องบิน (โห!)
ขนาดและน้ำหนัก: ตัวเครื่องหนักประมาณ 12.5 กก. ผู้หญิงตัวเล็กๆ อาจจะยกขึ้นลงบันไดรถไฟฟ้าหรือสะพานลอยเหนื่อยหน่อยนะ แต่ก็พอไหวอยู่ถ้าไม่ได้แบกนานๆ ตอนพับแล้วก็กะทัดรัดดี ใส่ท้ายรถเก๋งสบายๆ แต่อาจจะรู้สึกว่าคอตรงที่พับมันใหญ่หน่อย ทำให้จับยกไม่ค่อยถนัดเท่าบางรุ่น
สีที่มี: ส่วนใหญ่ที่เห็นจะเป็นสี Dark Gray นี่แหละ ดูดีสุดแล้ว
ความสะดวกในการพกพา/จัดเก็บ: พับง่ายแค่สเต็ปเดียว มีขาตั้งในตัว จอดได้สบาย ไม่ต้องหาที่พิงให้ล้ม เหมาะกับเอาไปใช้เดินทางแบบ Multimodal Transport สุดๆ เช่น ขี่ไป BTS/MRT แล้วพับขึ้นรถไฟฟ้า จากนั้นลงสถานีแล้วกางออกมาขี่ต่อ
อุปกรณ์ในกล่อง: ก็จะมีตัวเครื่อง สายชาร์จ (เหมือนอะแดปเตอร์โน้ตบุ๊ก) คู่มือ (อ่านบ้างก็ได้นะ เผื่อมีทริคเด็ดๆ)
3. ประสบการณ์ในการใช้งานฟังก์ชันหลัก: ซิ่งได้...แต่ต้องดูทาง!
มาถึงไฮไลต์! การขับขี่เป็นยังไง? Ninebot ES2 ทำความเร็วสูงสุดได้ประมาณ 25 กม./ชม. ถ้าใส่แบตเตอรี่เสริมจะไปได้ถึง 30 กม./ชม. เลย สำหรับในเมืองที่รถติดๆ เนี่ย ความเร็วเท่านี้ถือว่ากำลังดีเลย แซงมอเตอร์ไซค์ในซอยได้แบบสบายๆ
มอเตอร์: กำลังมอเตอร์ 300W (สูงสุด 700W) แรงพอจะไต่เนินลาดๆ ได้ประมาณ 10% ถ้ามีแบตเสริมก็ไต่ได้ถึง 15% แต่ถ้าเจอเนินสูงๆ ชันๆ อาจจะมีหอบหน่อยนะ
ยางและโช้ค: อย่างที่บอกว่ายางเป็นยางตัน ข้อดีคือไม่กลัวยางรั่ว ไม่ต้องเติมลม แต่ข้อเสียคือ...มันแข็ง! แม้จะมีโช้คหน้า-หลังมาให้ช่วยซับแรงกระแทก แต่ถ้าพื้นผิวไม่เรียบ มีรอยต่อถนนเยอะๆ หรือเจอทางที่ขรุขระมากๆ คุณจะรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนและเสียงก๊อกแก๊กได้ชัดเจน เรียกว่าเป็น "เครื่องนวดเท้า" ได้เลยทีเดียวถ้าวิ่งบนฟุตบาทเมืองไทยบางเส้น
เบรก: มีระบบเบรก 2 แบบ คือ เบรกไฟฟ้าที่แฮนด์ (เป็นแบบ regenerative ชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่ได้ด้วยนิดหน่อย) และเบรกเท้าที่บังโคลนหลัง เบรกไฟฟ้าใช้งานสะดวกดี แต่ถ้าต้องการเบรกกะทันหัน อาจจะต้องใช้เบรกเท้าร่วมด้วยเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
ประสบการณ์การใช้งาน & ความง่ายในการใช้: มือใหม่หายห่วง!
เรื่องความง่ายในการใช้งาน Ninebot ES2 ถือว่าสอบผ่านเลยนะ ไม่เคยขี่มาก่อนก็ใช้เวลาปรับตัวไม่นาน การควบคุมไม่ซับซ้อน คันเร่งอยู่ขวา เบรกอยู่ซ้าย หน้าจอแสดงผลก็ดูง่าย (ความเร็ว, แบตเตอรี่, โหมดขับขี่, บลูทูธ)
โหมดขับขี่: มีให้เลือก 3 โหมด คือ Speed Limited Mode (S สีขาว ไม่มี S ขึ้น) เหมาะสำหรับมือใหม่หรือพื้นที่จำกัด Standard Mode (S สีขาว) ความเร็วปานกลาง และ Sport Mode (S สีแดง) อันนี้แรงสุด ซิ่งสุด เปลี่ยนโหมดง่ายๆ แค่กดปุ่มเปิด/ปิด 2 ครั้ง
แอปพลิเคชัน: เชื่อมต่อกับแอปฯ Ninebot ได้ (ชื่อ Segway-Ninebot Global) แอปฯ ทำได้หลายอย่าง เช่น ดูข้อมูลการเดินทาง, ล็อกเครื่องกันขโมย (ล้อจะล็อกและมีเสียงเตือนถ้าโดนขยับ), ปรับสีไฟใต้ท้องเครื่อง (อันนี้เท่มาก!), ตั้งค่า Cruise Control (ล็อกความเร็วคงที่ ไม่ต้องเมื่อยบิดคันเร่งนานๆ)
เสียงและความร้อน: มอเตอร์ทำงานค่อนข้างเงียบนะ ไม่รบกวนชาวบ้านเท่าไหร่ ส่วนเรื่องความร้อน ปกติไม่ได้รู้สึกร้อนผิดปกติอะไร
4. แบตเตอรี่ / พลังงาน / ความคุ้มค่าในระยะยาว: วิ่งได้ไกลแค่ไหน ขึ้นอยู่กับใจและ...น้ำหนัก?
มาถึงคำถามยอดฮิต "วิ่งได้ไกลแค่ไหน?" ตามสเปก Ninebot ES2 วิ่งได้สูงสุด 25 กม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง แต่!!! อันนี้คือสเปกที่ทดสอบในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมมากๆ เช่น ทางเรียบๆ น้ำหนักเบาๆ อากาศไม่ร้อนจัด ในการใช้งานจริงในเมืองไทยที่ต้องเจอเนินบ้าง รถติดบ้าง หยุดๆ ไปๆ น้ำหนักผู้ขี่ไม่เท่ากัน ระยะทางจริงอาจจะอยู่ที่ประมาณ 15-20 กม. หรือน้อยกว่านั้นถ้าชอบซิ่งโหมด Sport ตลอดเวลา ถ้าอยากได้ระยะทางเยอะขึ้นจริงๆ ต้องติดแบตเตอรี่เสริม จะวิ่งได้ไกลถึง 45 กม.
ความเร็วในการชาร์จ: ชาร์จเต็มใช้เวลาประมาณ 3.5 ชั่วโมง
ค่าใช้จ่ายระยะยาว: เป็นสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่ดูแลรักษาง่าย ยางตันก็ไม่ต้องปะ ไม่ต้องเปลี่ยนยางบ่อยๆ ค่าไฟในการชาร์จก็น้อยมากๆ ถ้าเทียบกับค่าน้ำมัน อะไหล่หลักๆ ที่อาจจะต้องเปลี่ยนในระยะยาวก็มีแบตเตอรี่ (ราคาประมาณ 4,000 - 5,000 บาท) หรือมอเตอร์ถ้าใช้งานหนักจริงๆ
ความคุ้มค่า: ถ้าดูจากราคาและสเปก Ninebot ES2 อาจจะไม่ได้คุ้มค่า "ที่สุด" ถ้าเทียบกับบางรุ่นในตลาดที่มีราคาพอๆ กันแต่ได้สเปกสูงกว่า แต่ถ้ามองเรื่องดีไซน์ ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ความง่ายในการใช้งาน และฟังก์ชันเสริมต่างๆ ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าสนใจสำหรับคนเพิ่งเริ่มต้น
5. สรุปข้อดี-ข้อเสีย: ชั่งใจก่อนสอย!
ข้อดีเด็ดๆ ที่คนไทยน่าจะชอบ:
- ดีไซน์สวย เท่ พับง่าย: เอาไปไหนก็ดูดี พับแล้วเก็บสะดวก
- ยางตัน ไม่กลัวยางรั่ว: นี่คือข้อดีอันดับต้นๆ ของคนใช้ในเมืองไทย ถนนหนทางอาจจะมีอะไรให้ลุ้นตลอด
- มีโช้คหน้า-หลัง: ช่วยให้ขับขี่บนทางเรียบได้สบายขึ้นเยอะ
- มีแอปฯ ปรับไฟได้: ฟังก์ชันเสริมเล็กๆ ที่ทำให้รู้สึกสนุกและปลอดภัยขึ้นตอนกลางคืน (ไฟใต้ท้องนี่ของจริง!)
- แบรนด์น่าเชื่อถือ มีศูนย์บริการในไทย: อุ่นใจกว่าใช้แบรนด์โนเนม มีปัญหาก็เคลมได้
ข้อเสียที่อาจทำให้ลังเลใจ:
- ยางตัน + โช้ค = ก็ยังสะเทือนอยู่ดี: ถ้าเจอทางขรุขระมากๆ หรือลูกระนาดใหญ่ๆ ก็ยังกระเทือนและอาจมีเสียงดังได้
- ระยะทางจริงอาจไม่ถึง 25 กม.: ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ถ้าเดินทางไกลกว่า 15-20 กม. บ่อยๆ อาจจะต้องซื้อแบตเสริม
- เร่งไม่ค่อยปรู๊ดปร๊าดเท่าที่คิด (ในโหมดปกติ): ถ้าสายซิ่งอาจจะต้องเข้าโหมด Sport ตลอด
- คอใหญ่ แบกยากนิดหน่อยตอนพับ: อาจจะรู้สึกอุ้มไม่ถนัดเท่าบางรุ่น
- เบรกเท้าอาจไม่ชิน: บางคนอาจจะชอบเบรกที่แฮนด์ทั้งสองข้างมากกว่า
6. เหมาะกับใคร & คำแนะนำในการซื้อ: สอยเลยดีไหม?
Ninebot ES2 เหมาะกับใครบ้าง?
- นักเรียน นักศึกษา: ใช้เดินทางในมหาวิทยาลัย หรือจากหอไปเรียน/ไปเที่ยวใกล้ๆ
- คนทำงาน: ใช้เป็น Last-Mile Transport จากบ้านไปสถานีรถไฟฟ้า หรือจากสถานีไปออฟฟิศ ช่วยประหยัดค่าเดินทาง/ค่าวิน
- คนที่อยู่คอนโด/อพาร์ตเมนต์: พับเก็บง่าย ไม่เปลืองพื้นที่
- คนที่เดินทางระยะใกล้ๆ บ่อยๆ: ไปตลาด, ซื้อของเซเว่นปากซอย, ไปหาเพื่อนแถวบ้าน
- มือใหม่ที่อยากลองใช้สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า: ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน มีแบรนด์รองรับ
ควรซื้อเลยไหม? หรือรอช่วงโปรดีกว่า?
ถ้าคุณอยู่ในกลุ่มที่บอกมาข้างบน และมองหาสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่หน้าตาดี ใช้งานไม่ยาก มีแบรนด์รองรับ ไม่กลัวยางรั่ว และระยะทาง 15-20 กม. ต่อวันเพียงพอ ก็ถือว่าน่าสนใจที่จะซื้อเลย แต่ถ้าไม่รีบ แนะนำให้รอช่วงโปรโมชั่นใหญ่ๆ (เช่น 9.9, 10.10, 11.11, 12.12 หรือช่วงเทศกาลต่างๆ) ราคาจะลดลงไปเยอะมาก บางทีมีของแถมหรือโค้ดส่วนลดให้เก็บเพิ่มด้วยนะ!
7. เปรียบเทียบกับสินค้าคล้ายๆ กัน: เลือกตัวไหนดี?
Ninebot ES2 มักจะถูกเทียบกับ Xiaomi M365 ซึ่งเป็นคู่แข่งตัวฉกาจในตลาดรุ่นใกล้เคียงกัน
- Ninebot ES2 vs Xiaomi M365: ES2 ได้เปรียบเรื่องยางตัน (ไม่รั่ว) และมีโช้ค (แม้จะไม่นุ่มมาก) รวมถึงมีไฟใต้ท้องและปรับได้ ส่วน M365 จะได้เรื่องยางลมที่นุ่มกว่า (แต่เสี่ยงรั่ว) และบางคนว่าขับสนุกกว่า อัตราเร่งดีกว่านิดหน่อย
- Ninebot ES2 vs Ninebot รุ่นอื่น (ES1, ES4, E22, Max): ES1 เป็นรุ่นเริ่มต้นสุด สเปกต่ำกว่า ES2 ES4 คือ ES2 ที่มาพร้อมแบตเตอรี่เสริมเลย วิ่งได้ไกลกว่า เร็วขึ้น ไต่เนินดีขึ้น รุ่นใหม่ๆ อย่าง E22, Max จะมีการปรับปรุงเรื่องความแข็งแรงของคอ หรือไปเน้นเรื่องแบตฯ อึดๆ วิ่งไกลๆ
ถ้าเน้นไม่กลัวยางรั่ว พับง่าย มีโช้ค Ninebot ES2 ก็ตอบโจทย์ แต่ถ้าอยากได้แบตอึดจริงๆ หรือเน้นความนุ่มนวลบนทางขรุขระ อาจจะต้องดูรุ่นที่ใหม่กว่าหรือซีรีส์อื่นของ Ninebot เองนะ
8. บริการหลังการขายและช่องทางการซื้อ: ซื้อที่ไหนดี?
เรื่องบริการหลังการขาย Ninebot ถือว่าทำได้ดีในไทยนะ มีตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ (เช่น MONOWHEEL) ที่มีศูนย์บริการรองรับ
- การรับประกัน: ตัวเครื่องส่วนใหญ่ประกัน 1 ปี แบตเตอรี่ประกัน 6 เดือน
- ศูนย์บริการ: มีศูนย์บริการในกรุงเทพฯ และตัวแทนตามต่างจังหวัด
- ช่องทางการซื้อ: ซื้อได้ทั้งร้านค้าออนไลน์ (Lazada, Shopee, JD Central) หรือร้านค้าทางการ
- โปรโมชั่น: แนะนำให้ซื้อช่วงโปรโมชั่นในแพลตฟอร์มออนไลน์นะ มีทั้งส่วนลด, โค้ดส่งฟรี, ผ่อน 0% ราคาดีกว่าซื้อหน้าร้านปกติเยอะเลย
- การจัดส่ง: ถ้าซื้อกับร้านค้าทางการใน กทม. บางทีมีบริการส่งถึงในวันเดียวด้วยนะ! สะดวกสุดๆ
9. บทสรุปและคำแนะนำในการซื้อ: ซื้อหรือไม่ซื้อดี?
โดยรวมแล้ว Ninebot ES2 เป็นสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่น่าสนใจสำหรับผู้เริ่มต้นหรือคนที่ต้องการยานพาหนะคู่ใจสำหรับการเดินทางระยะใกล้ๆ ในเมือง
แนะนำให้ซื้อ ถ้า:
- คุณเน้นดีไซน์สวย พับเก็บง่าย พกพาสะดวก
- กังวลเรื่องยางรั่วมากๆ (ยางตันคือจุดแข็ง!)
- เดินทางไม่ไกลมากต่อวัน (ไม่เกิน 15-20 กม.) และส่วนใหญ่เจอทางเรียบๆ
- อยากได้แบรนด์ที่น่าเชื่อถือ มีบริการหลังการขายรองรับ
- อยากลองใช้สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าเป็นครั้งแรก แบบที่ไม่ซับซ้อนเกินไป
อาจจะต้องพิจารณาหรือดูรุ่นอื่น ถ้า:
- ต้องเดินทางไกลกว่า 20 กม. ต่อวันเป็นประจำ (ยกเว้นจะซื้อแบตเสริม)
- พื้นที่ที่คุณอยู่มีแต่ทางขรุขระ ลูกรัง หรือหลุมบ่อเยอะมากๆ (โช้คเอาไม่อยู่ทั้งหมดนะ)
- อยากได้สกู๊ตเตอร์ที่อัตราเร่งจัดจ้าน ปรู๊ดปร๊าดสุดๆ
- งบจำกัดมากๆ และเน้นสเปกต่อราคาเป็นหลัก (อาจมีรุ่นอื่นที่คุ้มกว่า)
สำหรับเรา ถ้าคุณเพิ่งเริ่มต้น และอยู่ในเมืองใหญ่ที่เน้นการเดินทางผสมผสาน Ninebot ES2 ก็เป็นตัวเลือกที่ดีมากๆ ตัวหนึ่งเลยนะ ลองพิจารณาดู แล้วตัดสินใจเลือกคู่หูคันใหม่ที่ใช่สำหรับคุณได้เลยจ้า! ขอให้สนุกกับการเดินทางนะทุกคน!
วิดีโอที่เกี่ยวข้อง
แนะนำสำหรับคุณ
Fresh Black Tea Mask รีวิว: มาส์กหน้าใส ฟูอิ่ม เห็นผลในครั้งแรก?
Clarins สำหรับผู้ชาย รีวิว: สกินแคร์ดูแลผิวผู้ชาย น่าใช้ไหม? ผลลัพธ์เป็นอย่างไร?
รีวิว Park Origin ทองหล่อ: คอนโดหรูใจกลางเมือง ชีวิตดี๊ดีสมราคาไหม?
รีวิว Sudocrem: ครีมสารพัดประโยชน์ แก้ผื่นผ้าอ้อม สิว และปัญหาผิวต่างๆ
รีวิว X Cute Me: ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ราคาดี คุณภาพเกินคาด
รีวิว Adare Garden Pool Villas Pattaya: พูลวิลล่าส่วนตัว บรรยากาศดีจริงไหม?