รีวิว เครื่องฟอกอากาศ Electrolux รุ่นไหนดี PM2.5 หายใจสะดวกขึ้น


ช่วงนี้อากาศเมืองไทยนี่มันชวนให้ปอดพังจริงๆ เลยว่ามั้ยคะสาวๆ ไหนจะฝุ่น PM2.5 ที่มองไม่เห็นแต่รู้สึกได้ ไหนจะกลิ่นอับ กลิ่นอาหาร กลิ่นน้องหมาน้องแมวสารพัด ยิ่งช่วงหน้าฝุ่น หน้าหนาวปลายปีงี้ โอ้โหหหห นึกว่าอยู่ท่ามกลางหมอกควัน ไม่ใช่หมอกรักนะจ๊ะ หมอกพิษ! การมีเครื่องฟอกอากาศดีๆ สักเครื่องนี่เลยไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อีกต่อไป แต่เป็นเรื่องที่ต้องมีแล้วววว
และหนึ่งในแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่คนไทยคุ้นเคยกันดี๊ดี แถมยังทำเครื่องฟอกอากาศออกมาได้น่าสนใจสุดๆ ก็คือ Electrolux นี่แหละค่ะ เขาออกมารุ่นย่อยๆ เพียบจนบางทีก็เลือกไม่ถูกว่า เอ๊ะ! รุ่นไหนนะที่จะช่วยให้เราหายใจสะดวกขึ้นจริงจัง โดยเฉพาะกับเจ้าฝุ่นจิ๋ว PM2.5 ตัวร้าย วันนี้ค่ะซิส! ดิฉันนี่แหละจะพาทุกคนไปเจาะลึก รีวิวแบบบ้านๆ สไตล์คนไทย ใช้จริง เจ็บจริง (เรื่องเงินในกระเป๋า!) มาดูกันว่าเครื่องฟอกอากาศ Electrolux รุ่นไหนน่าโดน รุ่นไหนเหมาะกับห้องเราที่สุด พร้อมแล้วก็ไปดูกันเล้ยยยย!
1. ภาพรวมสินค้า: รู้จัก Electrolux Air Purifier ตัวท็อปถึงตัวรอง
แบรนด์: Electrolux (อิเล็กโทรลักซ์)
ประเภทสินค้า: เครื่องฟอกอากาศ
ช่วงราคา: มีตั้งแต่หลักพันปลายๆ ไปจนถึงเกือบสามหมื่นบาท ขึ้นอยู่กับรุ่นและขนาดห้องที่รองรับ
Electrolux มีเครื่องฟอกอากาศหลายซีรีส์เลยค่ะ ที่ฮิตๆ ในบ้านเราและเน้นเรื่อง PM2.5 ก็จะมีกลุ่ม Flow A3, Flow A4, Flow A5, Flow A6 และ Pure A9 ซึ่งแต่ละรุ่นก็ออกแบบมาให้เหมาะกับขนาดห้องและความต้องการที่ต่างกัน ตั้งแต่ห้องเล็กๆ อย่างห้องนอนไปจนถึงห้องนั่งเล่นใหญ่เบิ้ม
ตำแหน่งในตลาด: มีตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น (Flow A3/A4) สำหรับห้องไม่ใหญ่มาก รุ่นกลาง (Flow A5/A6) สำหรับห้องขนาดมาตรฐาน ไปจนถึงรุ่นท็อป (Pure A9) ที่ฟังก์ชันครบครัน ครอบคลุมพื้นที่กว้างสุดๆ
จุดเด่นหลักๆ ที่เค้าเคลมมา:
- จัดการ PM2.5 ได้สบาย: ใช้ฟิลเตอร์ HEPA คุณภาพดี ดักจับฝุ่นจิ๋วได้ถึง 99.9% หรือบางรุ่นละเอียดถึง 0.01 ไมครอน!
- กรองสารพัดสิ่ง: ไม่ใช่แค่ฝุ่นนะ แบคทีเรีย ไวรัส ละอองเกสร ไรฝุ่น กลิ่นอับ กลิ่นสัตว์เลี้ยง ก็จัดการได้เรียบ
- ดีไซน์สวย: สไตล์มินิมอล เข้ากับบ้านทุกแบบ วางตรงไหนก็ดูดี
- ใช้งานง่าย: หลายรุ่นมีเซ็นเซอร์ตรวจจับคุณภาพอากาศอัตโนมัติ และบางรุ่นเชื่อมต่อแอปฯ ควบคุมผ่านมือถือได้
- ทำงานเงียบ: มีโหมด Sleep ที่แทบจะไม่ได้ยินเสียงเลย ไม่รบกวนเวลานอน
2. ดีไซน์ & รูปลักษณ์ภายนอก: เรียบหรู ดูสบายตา
เครื่องฟอกอากาศ Electrolux ส่วนใหญ่จะมาในทรงกระบอกหรือทรงเหลี่ยมมุมโค้งๆ หน่อย ดีไซน์เค้าจะเน้นความมินิมอล เรียบง่าย เข้ากับสไตล์บ้านสมัยใหม่ได้ไม่ยากเลยค่ะ วัสดุที่ใช้ก็ดูแข็งแรงทนทาน ไม่ก๊องแก๊ง สีก็มักจะเป็นโทนขาว เทา ดำ ชมพูพาสเทลให้เลือกตามชอบ
ขนาดและน้ำหนัก: แตกต่างกันไปตามรุ่นค่ะ รุ่นเล็กอย่าง Flow A3/A4 ก็จะกะทัดรัดหน่อย ยกไปมาในห้องสะดวก แต่ถ้ารุ่นใหญ่ Pure A9 นี่คืออลังการงานสร้าง เหมาะกับวางอยู่กับที่ไม่ต้องขยับบ่อยๆ
เหมาะกับวางไว้ที่ไหน: รุ่นเล็กเหมาะกับห้องนอน โต๊ะทำงาน รุ่นกลาง-ใหญ่ก็ห้องนั่งเล่น ห้องรับแขก หรือออฟฟิศเล็กๆ ได้เลย
อุปกรณ์เสริมในกล่อง: หลักๆ ก็จะมีตัวเครื่อง ไส้กรอง (ที่ต้องแกะพลาสติกออกก่อนใช้นะจ๊ะ!), สายไฟ, คู่มือการใช้งาน
3. ประสบการณ์ในการใช้งานฟังก์ชันหลัก: หายใจโล่งแบบไม่มโน
หัวใจหลักของเครื่องฟอกอากาศคือระบบกรองนี่แหละค่ะ Electrolux เค้าใช้ระบบกรองหลายชั้น (3-5 ขั้นตอน) ซึ่งรวมถึง Pre-filter (ดักจับฝุ่นหยาบ ผม ขนสัตว์) Activated Carbon Filter (ดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ กลิ่นอับ ควันบุหรี่ สารเคมี) และที่สำคัญคือ HEPA Filter ที่เป็นพระเอกในการดักจับฝุ่นละอองขนาดเล็กมากๆ อย่าง PM2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บางรุ่นยังมี Anti-bacterial Filter หรือระบบ UV-C Light ช่วยยับยั้งและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส รา ได้อีกด้วย
ค่า CADR (Clean Air Delivery Rate): ตัวเลขนี้บอกความสามารถในการฟอกอากาศบริสุทธิ์ ยิ่งค่าสูงยิ่งฟอกได้เร็วและเหมาะกับห้องใหญ่ขึ้น Electrolux มีค่า CADR ที่หลากหลายตามรุ่น ตั้งแต่หลักร้อยสำหรับห้องเล็กๆ ไปจนถึงเกือบ 500 สำหรับห้องใหญ่สุดๆ
ตอนใช้งานจริง พอเปิดเครื่องไปสักพัก โดยเฉพาะถ้าอากาศในห้องแย่ๆ จะเห็นได้เลยว่าไฟแสดงสถานะคุณภาพอากาศค่อยๆ เปลี่ยนจากสีแดง/ส้ม เป็นสีเหลือง แล้วก็เป็นสีเขียวในที่สุด คือรู้สึกได้เลยว่าอากาศสะอาดขึ้น สดชื่นขึ้น จมูกโล่งขึ้นจริงๆ นะคะ!
4. ประสบการณ์การใช้งาน & ความง่ายในการใช้: ไม่ต้องเป็นวิศวกรก็ใช้ได้!
เรื่องความง่ายในการใช้งานนี่ Electrolux ทำได้ดีเลยค่ะ รุ่นใหม่ๆ จะมีหน้าจอสัมผัสที่ใช้งานง่าย ไอคอนชัดเจน มีโหมด Auto ที่เครื่องจะปรับความแรงพัดลมเองตามคุณภาพอากาศที่เซ็นเซอร์ตรวจจับได้ มีโหมด Sleep ที่ทำงานเงียบกริบ และบางรุ่นก็มี Child Lock ป้องกันเด็กๆ มากดเล่นด้วย
สำหรับรุ่นที่เชื่อมต่อ Wi-Fi ได้ (เช่น Pure A9, UltimateHome 500/700) นี่ชีวิตยิ่งสบายขึ้นไปอีกค่ะ โหลดแอป Electrolux Wellness มาในมือถือ ก็ดูค่าฝุ่น ค่าความชื้น ตั้งเวลาเปิด-ปิด ปรับความแรงพัดลม หรือเช็คอายุไส้กรองได้จากทุกที่ ไม่ว่าจะอยู่นอกบ้านหรือขี้เกียจลุกจากเตียงก็สั่งได้สบายๆ
เรื่องเสียงตอนทำงาน ปกติโหมด Auto หรือความแรงต่ำๆ นี่เงียบมากค่ะ ได้ยินแค่เสียงลมเบาๆ แต่ถ้าเปิดความแรงสูงสุดเพื่อเคลียร์อากาศเร็วๆ ก็อาจจะมีเสียงดังขึ้นมาบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็ไม่ได้ดังจนหนวกหูอะไร
5. แบตเตอรี่ / พลังงาน / ความคุ้มค่าในระยะยาว: จ่ายครั้งแรกแล้วมีจ่ายต่อไหม?
เครื่องฟอกอากาศส่วนใหญ่ใช้ไฟบ้านโดยตรง ไม่ได้ใช้แบตเตอรี่ค่ะ เรื่องการกินไฟก็ถือว่าประหยัดใช้ได้เลย โดยเฉพาะถ้าใช้ในโหมด Auto หรือ Sleep mode ที่เครื่องจะปรับการทำงานให้เหมาะสม
แต่สิ่งที่ต้องพิจารณาในระยะยาวคือ ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนไส้กรอง ค่ะ อันนี้คือค่าใช้จ่ายหลักเลย ไส้กรอง HEPA และ Carbon Filter ของ Electrolux มีอายุการใช้งานประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับการใช้งานและความหนักของมลพิษในห้องเรา พอถึงเวลาต้องเปลี่ยน เครื่องจะมีไฟแจ้งเตือน หรือเช็คผ่านแอปฯ ได้เลย
ราคาไส้กรอง Electrolux ก็มีหลายราคาตามรุ่นค่ะ ตั้งแต่หลักร้อยปลายๆ ไปจนถึงพันกว่าบาทต่อชุด ถ้าเทียบกับอากาศสะอาดที่เราได้หายใจเข้าไปทุกวัน ก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่านะคะ ลองคำนวณดูว่าในหนึ่งปีต้องเปลี่ยนกี่ครั้ง งบประมาณเราไหวไหม
6. ข้อดี-ข้อเสีย: มีอะไรที่ชอบ มีอะไรที่แอบขัดใจ?
ข้อดีเด็ดๆ ที่คนไทยน่าจะชอบ:
- กรอง PM2.5 ได้ดีจริง: อันนี้คือจุดเด่นหลัก หายใจโล่งสบายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- ดีไซน์สวยงาม มินิมอล: วางตรงไหนก็เข้ากับบ้าน ไม่ขัดตา
- มีหลายรุ่น หลายขนาด: เลือกให้เหมาะกับห้องและงบประมาณได้ง่าย
- ใช้งานง่าย: ทั้งแบบปุ่มกดและควบคุมผ่านแอปฯ
- มีระบบกรองกลิ่น: ช่วยให้บ้านไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์
ข้อเสียที่อาจทำให้ลังเลใจ:
- ค่าใช้จ่ายไส้กรองระยะยาว: ต้องมีงบสำหรับซื้อไส้กรองมาเปลี่ยนทุกปี
- ราคาเครื่องบางรุ่นสูง: รุ่นท็อปๆ หรือรุ่นสำหรับห้องใหญ่ ราคาก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
- หาซื้อไส้กรองรุ่นเก่าๆ อาจจะยาก: ถ้าใช้ไปนานๆ แล้วรุ่นตกรุ่นไปแล้ว อาจจะต้องหาซื้อตามร้านออนไลน์ที่ไม่ใช่ official หน่อย
7. เหมาะกับใคร & คำแนะนำในการซื้อ: ซื้อเลยดีไหม หรือรอโปรดีกว่า?
เครื่องฟอกอากาศ Electrolux เหมาะมากๆ ค่ะสำหรับ:
- คนที่เป็นภูมิแพ้ / เป็นหวัดง่าย: อากาศสะอาดช่วยลดอาการได้เยอะเลย
- บ้านที่มีเด็กเล็ก / ผู้สูงอายุ: เป็นกลุ่มที่ต้องการอากาศบริสุทธิ์เป็นพิเศษ
- คนเลี้ยงสัตว์: ช่วยจัดการขนสัตว์และกลิ่นได้ดี
- คนที่อยู่คอนโด / บ้านใกล้ถนน: พื้นที่เหล่านี้มักมีฝุ่น PM2.5 สูง
- คนที่อยากได้เครื่องที่ใช้งานง่าย ดีไซน์สวย: Electrolux ตอบโจทย์นี้แน่นอน
ควรซื้อเลยไหม?: ถ้าคุณกำลังประสบปัญหาเรื่องคุณภาพอากาศในบ้าน งบประมาณถึง และต้องการเครื่องที่ได้มาตรฐาน ยี่ห้อเชื่อถือได้ ก็ซื้อเลยค่ะไม่ต้องลังเล!
หรือรอช่วงโปรดีกว่า?: อันนี้แหละทีเด็ด! เครื่องใช้ไฟฟ้า Electrolux ชอบมีโปรโมชั่นดีๆ ตามแพลตฟอร์มออนไลน์ใหญ่ๆ (Lazada, Shopee, Central Online, Power Buy Online) หรือร้านค้าตัวแทนจำหน่าย โดยเฉพาะช่วงเทศกาลลดราคาต่างๆ (เช่น 11.11, 12.12, สงกรานต์, ปีใหม่) มักจะมีส่วนลด ของแถม หรือโปรผ่อน 0% ให้ได้ช้อปแบบสบายกระเป๋าขึ้นเยอะ แนะนำว่าถ้าไม่รีบมาก รอดูโปรโมชั่นก่อนก็เป็นความคิดที่ดีค่ะ
8. เปรียบเทียบกับสินค้าคล้ายๆ กัน (เลือกใส่ก็ได้): ตัวไหนดีกว่ากันนะ?
ถ้าเทียบ Electrolux ด้วยกันเอง รุ่น Flow A3/A4 จะเหมาะกับห้องขนาดไม่เกิน 20-30 ตร.ม. ฟังก์ชันไม่ซับซ้อนมาก ราคาเป็นมิตร ส่วนรุ่น Flow A5/A6 จะขยับมาที่ห้องขนาด 40-50 ตร.ม. ฟังก์ชันอาจจะเยอะขึ้นมาหน่อย และรุ่นท็อปอย่าง Pure A9 นี่คือสำหรับห้องใหญ่ 60-88 ตร.ม. ฟังก์ชันครบสุดๆ มีแอปฯ ควบคุม ดีไซน์พรีเมียม
ถ้าเทียบกับแบรนด์อื่นในตลาดที่มีช่วงราคาและกลุ่มเป้าหมายใกล้เคียงกัน เช่น Sharp หรือ Philips Electrolux มักจะเด่นที่เรื่องดีไซน์ที่ดูโมเดิร์นกว่า และรุ่นใหม่ๆ มีฟังก์ชันเชื่อมต่อแอปฯ ที่ใช้งานง่าย ส่วนเรื่องประสิทธิภาพการกรอง PM2.5 แบรนด์ชั้นนำส่วนใหญ่ก็ทำได้ดีใกล้เคียงกันค่ะ
9. บริการหลังการขายและช่องทางการซื้อ: ซื้อแล้วสบายใจได้ไหม?
Electrolux มีการรับประกันสินค้าเครื่องฟอกอากาศ โดยปกติอะไหล่ไฟฟ้าและค่าแรงจะรับประกัน 2 ปี ซึ่งถือว่าค่อนข้างนานและน่าพอใจค่ะ สามารถติดต่อศูนย์บริการ Electrolux ในประเทศไทยได้ถ้ามีปัญหา
ช่องทางการซื้อ: หาซื้อได้ง่ายมากๆ ค่ะ ทั้งร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำทั่วไป (Power Buy, HomePro) และแพลตฟอร์มออนไลน์ยอดนิยม (Lazada, Shopee, Central Online) การซื้อออนไลน์สะดวก มีตัวเลือกเยอะ ส่วนใหญ่มีบริการส่งถึงบ้าน และอย่างที่บอกไปว่ามักจะมีโปรโมชั่นส่วนลด โค้ด หรือเงินคืนให้ได้ใช้คุ้มๆ
การผ่อนชำระ 0% ก็มีให้เลือกตามบัตรเครดิตและแพลตฟอร์มที่ร่วมรายการ ส่วนเรื่องค่าจัดส่งและระยะเวลา ก็ขึ้นอยู่กับร้านและพื้นที่จัดส่งค่ะ ปกติในกรุงเทพฯ และปริมณฑลก็จะส่งเร็วกว่าต่างจังหวัด
10. บทสรุปและคำแนะนำในการซื้อ: ฟันธง! ควรซื้อไหม?
จากที่รีวิวมาทั้งหมด ถ้าถามว่าเครื่องฟอกอากาศ Electrolux รุ่นไหนดีสำหรับ PM2.5 และทำให้หายใจสะดวกขึ้นจริงๆ จังๆ ดิฉันฟันธงเลยว่าดีค่ะ! โดยเฉพาะรุ่นที่มีฟิลเตอร์ HEPA คุณภาพสูง และมีค่า CADR เหมาะสมกับขนาดห้องของคุณ
สำหรับผู้เริ่มต้น หรือห้องขนาดเล็ก (ไม่เกิน 20-30 ตร.ม.): รุ่น Flow A3 หรือ A4 เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจค่ะ ราคาไม่แรง ฟังก์ชันพื้นฐานครบ กรองฝุ่นและกลิ่นได้ดี
สำหรับห้องขนาดกลาง (ประมาณ 40-50 ตร.ม.): ลองดูรุ่น Flow A5 หรือ A6 ค่ะ CADR สูงขึ้น ครอบคลุมพื้นที่ได้ดีกว่า
สำหรับห้องขนาดใหญ่ หรืออยากได้ฟังก์ชันครบๆ ควบคุมผ่านแอปฯ: จัดไปเลยค่ะ Pure A9 ซีรีส์ ตอบโจทย์แน่นอน ดีไซน์สวย พรีเมียม ฟังก์ชันฉลาด
คำแนะนำเฉพาะ:
- คนงบน้อย: มองหารุ่น Flow A3/A4 ช่วงจัดโปรโมชั่นค่ะ คุ้มแน่นอน
- คนเน้นสะดวก ควบคุมผ่านมือถือ: เลือกรุ่น Pure A9 หรือ UltimateHome ที่รองรับแอปฯ ค่ะ ชีวิตสบายขึ้นเยอะ
- คนเป็นภูมิแพ้หนักๆ หรือมีเด็ก/ผู้สูงอายุ: เลือกรุ่นที่มีระบบกรองหลายชั้น มี UV-C หรือ Anti-bacterial Filter เพิ่มเติมก็จะช่วยได้มากค่ะ
สุดท้ายแล้ว การมีเครื่องฟอกอากาศดีๆ สักเครื่อง เหมือนการลงทุนเพื่อสุขภาพปอดและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นนะคะ หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจเลือกเครื่องฟอกอากาศ Electrolux ที่ใช่สำหรับทุกคนนะคะ!
วิดีโอที่เกี่ยวข้อง
แนะนำสำหรับคุณ
ราคา รถยนต์ Subaru ทุกรุ่นในไทย อัปเดตล่าสุดปี 2568 พร้อมสเปกเด่น
ราคา แผ่นใยสังเคราะห์ Geotextile สำหรับงานก่อสร้างและงานภูมิทัศน์
ราคา SanDisk iXpand Flash Drive (สำหรับ iPhone/iPad) 2025: รุ่นไหนดี โอนข้อมูลไว?
ราคา Amway Nutrilite All Plant Protein อัปเดตล่าสุด สมาชิก/ไม่สมาชิก ปี 2568
ราคา Netflix แพ็กเกจไหนเหมาะกับครอบครัว? แชร์ได้กี่คน?
เปิดราคาล่าสุด ปากกา Huawei M Pen รุ่นใหม่ พร้อมโปรโมชั่นเด็ด