Close-up Filter ราคาเท่าไหร่? ตัวช่วยถ่ายภาพมาโครง่ายๆ ในงบประหยัด


สวัสดีค่าสายถ่ายรูปชาวไทยทุกคนนน! วันนี้เราจะมาเม้าท์มอยเรื่องไอเทมลับๆ ที่จะช่วยให้รูปถ่ายของเราดูว้าวขึ้นแบบงบไม่บานปลาย นั่นก็คือ Close-up Filter นั่นเองจ้า! ใครที่กำลังอยากลองถ่ายภาพมาโคร ถ่ายรูปดอกไม้ แมลง หรือรายละเอียดเล็กๆ แบบใกล้ๆ แต่เห็นราคาเลนส์มาโครแล้วจะเป็นลม Close-up Filter นี่แหละคือทางออกที่สดใสในราคาที่ใครๆ ก็เอื้อมถึง! เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม แล้วไปดูกันเลยว่าเจ้าฟิลเตอร์จิ๋วแต่แจ๋วนี่มันคืออะไร ราคาเท่าไหร่ แล้วช้อปยังไงให้คุ้มสุดๆ ไปเลย!
1. เจ้า Close-up Filter นี่มันคืออะไรกันนะ?
ง่ายๆ เลยนะ เจ้า Close-up Filter เนี่ย ก็เหมือนเอาแว่นขยายไปสวมให้หน้าเลนส์กล้องของเรานั่นแหละ! มันเป็นแผ่นกระจก (หรือหลายชิ้นประกบกันในรุ่นดีๆ หน่อย) ที่มีคุณสมบัติเหมือนเลนส์นูน ช่วยให้เลนส์ปกติของเราสามารถโฟกัสวัตถุที่อยู่ใกล้มากๆ ได้มากขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย จากที่เคยมองอะไรใกล้ๆ แล้วเบลอ ตอนนี้คือชัดแจ๋ว เห็นรายละเอียดเล็กๆ ได้แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ถามว่าเหมาะกับใคร? เหมาะสุดๆ กับมือใหม่ที่อยากลองถ่ายมาโครแต่ยังไม่อยากลงทุนซื้อเลนส์มาโครแพงๆ หรือคนที่มีเลนส์คิต เลนส์ซูมธรรมดาๆ อยู่แล้ว แต่อยากเพิ่มความสามารถในการถ่ายระยะใกล้เข้าไป มันเป็นอุปกรณ์เสริมที่ใช้งานง่าย แค่หมุนเข้าไปที่หน้าเลนส์ (เช็คขนาดเกลียวฟิลเตอร์ให้ตรงกับเลนส์ที่เรามีด้วยนะ) แล้วก็ลุยได้เลย! ไม่ต้องมีความรู้ซับซ้อนอะไรเลยจ้า ไม่ได้มีประวัติแบรนด์เก่าแก่แบบกล้องหรือเลนส์นะ เพราะมันเป็นแค่อุปกรณ์เสริมทางทัศนูปกรณ์ที่หลายๆ แบรนด์เค้าผลิตออกมาขายกันนั่นแหละ เน้นที่ฟังก์ชันตรงๆ คือลดระยะโฟกัสใกล้สุดให้เราถ่ายมาโครได้ง่ายขึ้น
2. ราคาในตลาดไทยเป็นยังไงบ้าง?
มาถึงช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอย "ราคา" นั่นเอง! สำหรับ Close-up Filter เนี่ย ต้องบอกเลยว่าราคาเป็นมิตรกับกระเป๋าสตางค์มากๆ จ้า เมื่อเทียบกับเลนส์มาโครแล้ว คนละเรื่องเลย! ราคาในตลาดไทยส่วนใหญ่จะเริ่มต้นแค่หลักร้อยบาทเท่านั้นเอง!
ราคาจะแตกต่างกันไปตามหลายปัจจัยนะ เช่น:
- ค่ากำลังขยาย (Diopter): ส่วนใหญ่จะมาเป็นชุดที่มีหลายๆ เบอร์ เช่น +1, +2, +4, +10 เบอร์ยิ่งเยอะ กำลังขยายยิ่งสูง ถ่ายได้ใกล้ขึ้น ราคาก็อาจจะสูงขึ้นตามชุดเบอร์ที่ให้มา
- ขนาดหน้าฟิลเตอร์: ต้องเลือกให้ตรงกับขนาดหน้าเลนส์ของเรา เช่น 52mm, 58mm, 67mm, 77mm ขนาดใหญ่ๆ มักจะราคาสูงกว่าขนาดเล็กนิดหน่อย
- คุณภาพ: มีตั้งแต่แบบธรรมดาไปจนถึงแบบดีๆ ที่เป็น Multi-Element หรือ Achromat (มีหลายชิ้นเลนส์ประกบกัน) คุณภาพดีๆ หน่อยก็จะช่วยลดความคลาดสี (Chromatic Aberration) หรือความเบลอที่ขอบภาพได้ดีกว่า ราคาก็จะกระโดดไปหลักพันนิดๆ
ลองส่องๆ ดูในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดฮิตของไทยอย่าง Lazada หรือ Shopee เนี่ย จะเจอเพียบเลยจ้า ราคาชุด Basic +1,+2,+4,+10 สำหรับขนาดหน้าเลนส์ยอดนิยมอย่าง 52mm หรือ 58mm เนี่ย เริ่มต้นแค่ประมาณ 2xx - 5xx บาทเท่านั้นเอง ส่วนถ้าเป็นแบรนด์ที่มีชื่อหน่อย หรือเป็นแบบ Achromat คุณภาพดีขึ้น ราคาก็อาจจะไปถึงหลักพันกว่าบาท
ตามร้านกล้องใหญ่ๆ อย่าง Big Camera หรือ FotoFile ก็อาจจะมีขายบ้าง แต่ราคาก็อาจจะสูงกว่าออนไลน์นิดหน่อย หรือบางทีอาจจะมีเฉพาะแบรนด์ที่มีชื่อเสียงหน่อยจ้า ส่วนร้านอุปกรณ์ไอทีอย่าง JIB หรือ Banana IT ส่วนใหญ่จะเน้นคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ อุปกรณ์เสริมทั่วไป อาจจะไม่มีฟิลเตอร์กล้องแบบนี้ขายนะ ต้องหาร้านกล้องโดยเฉพาะเลย
3. แล้วเทียบกับสินค้าประเภทเดียวกันล่ะ ราคาคุ้มมั้ย?
ถ้าให้เทียบกับ "เลนส์มาโครจริงๆ" เนี่ย บอกเลยว่า Close-up Filter คือ โคตรคุ้ม ในแง่ของราคา! เลนส์มาโครดีๆ ตัวนึงราคาเหยียบหมื่น หรือหลายหมื่นเลยก็มี ในขณะที่ฟิลเตอร์ราคาแค่หลักร้อย!
แน่นอนว่าคุณภาพมันเทียบเลนส์มาโครแท้ๆ ไม่ได้หรอกนะ เลนส์มาโครจะให้ความคมชัดทั่วทั้งภาพมากกว่า โดยเฉพาะบริเวณขอบๆ ภาพ และให้ระยะทำงาน (Working Distance) ที่ดีกว่า ทำให้เราไม่จำเป็นต้องเอาเลนส์ไปจ่อติดวัตถุมากเกินไป แต่สำหรับ Close-up Filter โดยเฉพาะรุ่นถูกๆ เนี่ย อาจจะมีความเบลอที่ขอบภาพบ้าง มีความคลาดสี (สีเหลื่อมๆ) บ้าง แต่ถ้าเน้นถ่ายตรงกลางภาพเป็นหลัก หรือไม่ได้ซีเรียสเรื่องความสมบูรณ์แบบระดับมืออาชีพมากนัก สำหรับราคาแค่ไม่กี่ร้อยบาทที่จ่ายไปเนี่ย คุณภาพที่ได้คือดีเกินคาดมากๆ เลยนะ มันเป็นตัวเลือกที่ให้เรา "ลอง" ถ่ายมาโครดูก่อน ถ้าชอบจริงๆ ค่อยขยับไปซื้อเลนส์มาโครแท้ๆ ก็ยังไม่สาย
ถ้าเทียบกันเองในกลุ่ม Close-up Filter ด้วยกัน รุ่นที่เป็นแบบ Achromat (มีชิ้นเลนส์หลายชิ้น) ราคาจะสูงกว่า แต่ก็จะให้คุณภาพที่ดีกว่าแบบชิ้นเดียว ลดปัญหาความคลาดต่างๆ ได้ดีขึ้น ถ้ามีงบเพิ่มอีกหน่อย การเลือกรุ่นที่ดีขึ้นก็ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจกว่าจ้า
4. ซื้อแล้วได้อะไรมาบ้างนะ?
ส่วนใหญ่แล้ว เวลาซื้อ Close-up Filter โดยเฉพาะแบบชุด +1,+2,+4,+10 เนี่ย สิ่งที่มักจะมาในแพ็คเกจก็คือ:
- ตัวฟิลเตอร์: เป็นแผ่นๆ ตามจำนวนเบอร์ที่ซื้อมา มักจะมี 4 ชิ้น (+1,+2,+4,+10)
- กล่องหรือซองใส่ฟิลเตอร์: มักจะเป็นกล่องพลาสติกเล็กๆ หรือซองผ้าสำหรับใส่ฟิลเตอร์ทั้งชุด เพื่อป้องกันรอยขีดข่วน
แค่นั้นเลยจ้า ส่วนใหญ่จะไม่มีอะไรหวือหวาแบบอุปกรณ์กล้องราคาแพงๆ อาจจะมีแถมผ้าเช็ดเลนส์เล็กๆ มาให้บ้างจากบางร้าน
เรื่อง ค่าจัดส่ง ถ้าซื้อออนไลน์ส่วนใหญ่ก็มีค่าส่งนะ นอกจากร้านจะมีโปรโมชั่นส่งฟรี หรือเราซื้อยอดถึงตามที่ร้านกำหนด ก็ต้องดูเงื่อนไขดีๆ ก่อนกดสั่งซื้อจ้า
สำหรับ ระยะเวลารับประกัน อันนี้ต้องทำใจนิดนึงนะจ๊ะ เพราะ Close-up Filter เป็นอุปกรณ์เสริมที่ค่อนข้างเรียบง่าย ส่วนใหญ่จะ ไม่มีประกันศูนย์ หรือมีแค่ ประกันร้าน สั้นๆ เช่น 7 วัน หรือ 30 วัน สำหรับความเสียหายจากการผลิต (ซึ่งเกิดได้น้อยมากกับฟิลเตอร์) ไม่ได้มีการรับประกันยาวนานเหมือนตัวกล้องหรือเลนส์ราคาแพงๆ นะ คนไทยที่เน้นเรื่องประกันอาจจะต้องเช็คกับร้านค้าก่อนซื้อให้แน่ใจจ้า
เรื่อง ของแถม/โปรโมชั่น นอกเหนือจากส่วนลดค่าฟิลเตอร์เอง บางร้านอาจจะมีจัดโปรโมชั่นแถมผ้าเช็ดเลนส์ หรืออุปกรณ์ทำความสะอาดเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องลองส่องดูรายละเอียดสินค้าดีๆ นะ
5. มีช่วงไหนน่าซื้อเป็นพิเศษมั้ย?
แน่นอนว่าถ้าอยากช้อปให้คุ้มสุดๆ ช่วง โปรโมชั่น นี่แหละคือโอกาสทอง! ถึงแม้ Close-up Filter จะราคาไม่แพงอยู่แล้ว แต่ถ้าได้ลดอีกนิดลดอีกหน่อยก็ดีกว่าจริงไหมล่ะ?
ช่วงที่น่าจับตามองเป็นพิเศษในไทยก็คือ:
- ช่วงเทศกาล Double Digit Sale: อันนี้มาแรงสุดๆ ทั้ง 11.11, 12.12 ของ Lazada และ Shopee ที่เค้าจัดโปรโมชั่นลดราคาครั้งใหญ่ มีโค้ดส่วนลดให้เก็บเพียบ บางทีมี Flash Sale ฟิลเตอร์ราคาถูกลงไปอีก ก็ต้องตาไว มือไวหน่อยนะ
- ช่วงเทศกาลสำคัญๆ ของไทย: เช่น สงกรานต์, ปีใหม่ ร้านค้าออนไลน์หลายๆ ร้านก็มักจะมีโปรโมชั่นรับเทศกาลนะ ลองเข้าไปเช็คดูได้
- ช่วงแคมเปญลดราคาอื่นๆ ของแพลตฟอร์ม: Lazada, Shopee มีการจัดแคมเปญลดราคาแทบจะทุกเดือน ทั้ง Mid-Month Sale, End of Month Sale หรือแคมเปญเฉพาะหมวดสินค้า ลองเข้าไปดูในหมวดกล้องและอุปกรณ์เสริม อาจจะมีส่วนลดสำหรับฟิลเตอร์ด้วย
ร้านค้าที่เป็น Official Store หรือร้านใหญ่ๆ บน Lazada/Shopee บางทีก็มีโค้ดส่วนลดหน้าร้านให้เก็บ หรือมีโปรโมชั่นซื้อครบยอดได้ลดเพิ่ม แนะนำให้กดติดตามร้านค้าที่สนใจไว้เลย จะได้ไม่พลาดโปรโมชั่นดีๆ จ้า สรุปคือ ถ้าไม่รีบใช้มากๆ รอช่วงโปรโมชั่น เนี่ย มีโอกาสได้ของในราคาที่ถูกลงไปอีกแน่นอน
6. รีวิวและฟีดแบ็กจากผู้ใช้ในไทยเป็นยังไงบ้างนะ?
จากที่ลองไปส่องๆ ดูตามรีวิวผู้ใช้ในไทย (ตาม Lazada/Shopee นี่แหละ) เสียงตอบรับเกี่ยวกับ Close-up Filter ส่วนใหญ่เป็นไปในทางบวกนะ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับราคาที่จ่ายไป
จุดที่คนไทยชอบมากๆ เลยก็คือ:
- ราคาถูกมากๆ: อันนี้คือข้อดีอันดับหนึ่งเลย เพราะทำให้คนทั่วไปที่งบน้อยก็สามารถลองถ่ายมาโครได้
- ใช้งานง่ายสุดๆ: แค่หมุนติดหน้าเลนส์ก็ใช้ได้เลย ไม่ยุ่งยาก
- ได้ภาพมาโครจริงๆ: ถึงคุณภาพอาจจะไม่เป๊ะเท่าเลนส์มาโครแท้ๆ แต่ก็สามารถถ่ายให้วัตถุเล็กๆ ดูใหญ่ขึ้นในเฟรมได้จริง เห็นรายละเอียดที่เลนส์ปกติถ่ายไม่ได้
- พกพาสะดวก: ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ใส่กระเป๋ากล้องไปได้สบายๆ ไม่เปลืองพื้นที่
- เหมาะกับการ "ลอง": หลายคนบอกว่าซื้อมาลองดูก่อนว่าชอบแนวมาโครไหม ก่อนจะตัดสินใจซื้อเลนส์มาโครแพงๆ
ส่วนข้อเสียที่เจอบ่อยๆ ก็คือเรื่องความคมชัดที่ขอบภาพที่อาจจะลดลง และอาจจะมีอาการคลาดสีบ้างในบางสภาพแสง ซึ่งผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็เข้าใจและรับได้เมื่อเทียบกับราคาที่จ่ายไปนั่นเอง สรุปคือ ฟิลเตอร์นี้ตอบโจทย์คนไทยที่อยากได้อุปกรณ์เสริมที่ไม่แพง ใช้งานง่าย และให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจสำหรับการเริ่มต้นถ่ายมาโครจ้า
7. แล้วจะไปหาซื้อได้ที่ไหนล่ะทีนี้?
ช่องทางที่แนะนำที่สุดในการซื้อ Close-up Filter ในไทย ก็คือ:
- แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่: ทั้ง Shopee และ Lazada นี่คือแหล่งรวมร้านค้าที่ขายฟิลเตอร์ Close-up เยอะที่สุดแล้ว มีตัวเลือกหลากหลายราคาให้เปรียบเทียบเยอะมาก ตั้งแต่แบรนด์โนเนมราคาถูกสุดๆ ไปจนถึงแบรนด์ที่มีชื่อหน่อย มีรีวิวจากผู้ซื้อคนอื่นๆ ให้อ่านประกอบการตัดสินใจ มีระบบการชำระเงินที่ปลอดภัย ข้อดีคือสะดวกสบาย นั่งสั่งอยู่บ้านได้เลยรอรับของ แถมยังมีโปรโมชั่นลดราคาบ่อยๆ อย่างที่บอกไปแล้ว
- ร้านกล้องออนไลน์/ออฟไลน์: ร้านใหญ่ๆ อย่าง Big Camera, FotoFile, ZoomCamera หรือร้านออนไลน์เฉพาะทางด้านกล้อง อาจจะมีฟิลเตอร์ Close-up ขายด้วย ส่วนใหญ่ก็จะมีแบรนด์ที่เป็นที่รู้จัก คุณภาพอาจจะดีกว่าแบบโนเนมที่เจอในมาร์เก็ตเพลส แต่ราคาก็อาจจะสูงกว่าเช่นกัน ข้อดีคือบางร้านมีหน้าร้านให้ไปดูของจริงได้ หรือสามารถสอบถามข้อมูลจากพนักงานได้โดยตรง
สำหรับฟิลเตอร์ Close-up เนี่ย ราคาของใหม่มันถูกมากๆ อยู่แล้ว การหาซื้อมือสองอาจจะไม่ได้ประหยัดลงไปเท่าไหร่เมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่อาจจะได้ของสภาพไม่ดี หรือมีรอยแล้ว ดังนั้นแนะนำให้ซื้อของใหม่จากร้านค้าที่น่าเชื่อถือในช่องทางที่บอกไปดีกว่าจ้า
8. สรุปแล้วน่าซื้อไหม? เหมาะกับใคร?
มาถึงบทสรุปกันแล้ว! ถามว่า Close-up Filter น่าซื้อไหม? ถ้าคุณเป็นคนที่:
- อยากลองถ่ายภาพมาโคร
- มีงบประมาณจำกัดมากๆ ไม่อยากจ่ายเงินเป็นหมื่นเพื่อเลนส์มาโคร
- มีเลนส์คิตหรือเลนส์ซูมธรรมดาอยู่แล้ว และอยากเพิ่มความสามารถในการถ่ายระยะใกล้ให้มัน
- ไม่ซีเรียสเรื่องคุณภาพคมกริบระดับสุดยอด ต้องการแค่ได้ภาพมาโครสนุกๆ เอาไปโพสต์โซเชียล
- ชอบอุปกรณ์เสริมที่ใช้งานง่าย พกพาสะดวก
Close-up Filter คือสิ่งที่น่าซื้อมากๆ เลยจ้า! มันเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าสุดๆ ในราคาแค่หลักร้อยบาท ที่ช่วยให้เราได้สัมผัสโลกของการถ่ายภาพมาโครได้อย่างง่ายดาย
มันเหมาะสุดๆ กับ มือใหม่หัดถ่ายมาโคร, นักเรียน นักศึกษา, หรือคนที่ถ่ายรูปเป็นงานอดิเรกที่อยากได้ภาพแนวใหม่ๆ มาลงโซเชียล แต่ถ้าคุณเป็นช่างภาพมืออาชีพ หรือคนที่ซีเรียสเรื่องคุณภาพไฟล์ภาพสูงสุดๆ ต้องการความคมชัดทั่วทั้งภาพ ต้องการระยะทำงานที่ยืดหยุ่นกว่า และมีงบประมาณพร้อม การลงทุนกับเลนส์มาโครแท้ๆ ก็ยังเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดนะ
แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว โดยเฉพาะคนที่เพิ่งเริ่มต้น Close-up Filter เนี่ยคือคำตอบที่ใช่เลย! ซื้อมาลองดูก่อน ไม่ชอบก็ไม่เสียดายเงินเยอะ แถมยังได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ในการถ่ายภาพด้วยนะ ขอให้ทุกคนสนุกกับการถ่ายมาโครด้วย Close-up Filter จ้า!
วิดีโอที่เกี่ยวข้อง
แนะนำสำหรับคุณ
ราคา เมมโมรี่การ์ด 16GB อัปเดตปี 2568 เลือกซื้อแบบไหนดี สำหรับกล้องและมือถือ
น้ำหอม Vanitas By Versace ราคาล่าสุด กลิ่นหอมหวานเย้ายวน น่าซื้อไหม
ราคา iPhone 7 Plus ล่าสุด 128GB มือสอง ปี 2568 ยังน่าซื้ออยู่ไหม
BMX ราคา 3000 บาท ปี 2568 ซื้อรุ่นไหนดี? เหมาะสำหรับมือใหม่หัดปั่น
ราคาจดโดเมนเนม เว็บไซต์ ล่าสุด เลือกผู้ให้บริการไหนดีที่สุด
รถยนต์ Mitsuoka ราคาล่าสุด ปี 2568 ดีไซน์คลาสสิก ไม่เหมือนใคร น่าจับตามอง