10 อันดับ การ์ด Wi-Fi SD ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 โอนรูปง่าย สะดวก


สวัสดีคร้าบเพื่อนๆ ชาวตากล้อง (และคนที่ยังมีกล้องเก่าแต่ใจยังสู้)! 👋 สมัยนี้ใครๆ ก็อยากแชะแล้วแชร์แบบเรียลไทม์ ถ่ายปุ๊บ อัปขึ้นโซเชียลปั๊บ ไม่ต้องรอกลับบ้านเปิดคอมให้เสียเวลาใช่มั้ยล่ะครับ!
แต่ปัญหาคือ... กล้องคู่ใจตัวเก่าที่ไร้ซึ่ง Wi-Fi ในตัวล่ะ ทำยังไงดี? จะเสียบสาย โหลดลงคอม แล้วค่อยส่งเข้ามือถือก็ดูจะยุ่งยากไปนิด หรือจะใช้สาย OTG + Card Reader ก็ยังต้องพกหลายอย่างอยู่ดี
นี่แหละครับคือที่มาของพระเอกของเราในวันนี้: การ์ด Wi-Fi SD! เจ้าสิ่งนี้หน้าตาเหมือนการ์ด SD ทั่วไปนี่แหละครับ แต่มีความสามารถพิเศษคือปล่อยสัญญาณ Wi-Fi ออกมาได้ ทำให้เราสามารถดึงรูปจากกล้องเข้ามือถือหรือแท็บเล็ตได้แบบชิลๆ ไม่ต้องง้อสาย ไม่ต้องง้อคอม สะดวกสบายสุดๆ เลยครับ
แต่ด้วยความที่มีหลายยี่ห้อ หลายรุ่นในตลาด (แม้จะไม่เยอะเท่าเมื่อก่อนก็ตาม) อาจทำให้หลายคนเลือกไม่ถูกว่าจะใช้ยี่ห้อไหนดี รุ่นไหนจะตอบโจทย์การใช้งานของเรามากที่สุด บทความนี้ ผมซึ่งเป็นเพื่อนซี้ของวงการไอทีและการช้อปออนไลน์ (ที่ชอบแอบส่องดีลเด็ดๆ) จะพาไปดูกันว่าในปี 2025 นี้ การ์ด Wi-Fi SD ตัวไหนน่าสนใจ ยังพอหาซื้อได้ และมีอะไรที่ต้องดูก่อนตัดสินใจบ้าง ตามมาเลยคร้าบ!
ตลาดการ์ด Wi-Fi SD ในไทย ยังมีที่ยืนแค่ไหนนะ?
ต้องยอมรับว่าในยุคที่กล้องดิจิทัลรุ่นใหม่ๆ ทั้ง Mirrorless หรือ DSLR ส่วนใหญ่มี Wi-Fi และ Bluetooth ในตัวกันหมดแล้ว ตลาดของการ์ด Wi-Fi SD ก็อาจจะดูเงียบเหงาลงไปบ้างครับ
แต่! ใช่ว่ามันจะหายไปซะทีเดียวครับ เจ้าการ์ดพวกนี้ยังคงเป็น ตัวช่วยชีวิต สำหรับคนที่ยังใช้กล้องรุ่นเก่าที่ไม่มี Wi-Fi ติดมาแต่เกิด หรือคนที่อยากได้ความยืดหยุ่นในการโอนไฟล์แบบไร้สายโดยไม่พึ่งฟังก์ชัน built-in ของกล้อง
ในไทยเอง การ์ด Wi-Fi SD ที่ยังพอเห็นและมีคนพูดถึงอยู่บ้างหลักๆ ก็จะเป็นแบรนด์เก่าแก่อย่าง Transcend และ Toshiba (ในชื่อ FlashAir) ครับ รวมถึงแบรนด์ทางเลือกอย่าง ez Share ที่มีทั้งตัวการ์ดเองและแบบอะแดปเตอร์ ส่วนแบรนด์บุกเบิกอย่าง Eye-Fi นั้นอาจจะหายากขึ้นแล้วครับ
พฤติกรรมผู้บริโภคไทยที่ยังมองหาการ์ดประเภทนี้ มักจะเป็นคนที่ หวงแหนกล้องตัวเก่า ที่ยังใช้งานได้ดี หรือกลุ่มที่เพิ่งได้ กล้องดิจิทัลเก่ามาเป็นของขวัญ/ซื้อต่อมือสอง และต้องการความสะดวกในการดึงรูปไปอัปโหลดลงโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะถ่ายรูปงานแต่ง งานบวช งานเที่ยว หรือแม้แต่รูปอาหารก่อนกิน
แหล่งช้อปปิ้งหลักๆ ในปัจจุบันที่พอจะหาซื้อการ์ด Wi-Fi SD ได้ก็หนีไม่พ้นแพลตฟอร์มออนไลน์ยอดฮิตอย่าง Lazada และ Shopee ครับ อาจจะมีวางขายในร้านอุปกรณ์กล้องบางร้าน หรือตามร้านขายอุปกรณ์ไอทีใหญ่ๆ บ้าง แต่ตัวเลือกอาจจะไม่หลากหลายเท่าออนไลน์
เลือกการ์ด Wi-Fi SD ยังไง ไม่ให้พลาด?
ก่อนจะพุ่งตัวไปสอยการ์ด Wi-Fi SD มาใช้ ลองมาดูกันก่อนว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่เราต้องพิจารณา เพื่อให้ได้การ์ดที่เหมาะกับกล้องคู่ใจและสไตล์การใช้งานของเราที่สุดครับ
ปัจจัย | สิ่งที่ควรพิจารณา (สำหรับ การ์ด Wi-Fi SD) |
---|---|
ความเข้ากันได้ (Compatibility) | สำคัญมาก! การ์ด Wi-Fi SD บางรุ่นอาจไม่รองรับกล้องบางยี่ห้อ/บางรุ่น ควรเช็คจากเว็บไซต์ผู้ผลิตการ์ด หรือตามฟอรั่ม/รีวิวออนไลน์ก่อนซื้อเสมอ |
ความเร็ว (Speed Class) | ดูที่ Class ของการ์ด (เช่น Class 10, U1, U3) ยิ่ง Class สูง ยิ่งอ่านเขียนข้อมูลได้เร็ว มีผลกับการถ่ายภาพต่อเนื่อง หรือการถ่ายวิดีโอ |
ความจุ (Capacity) | มีตั้งแต่ 8GB ไปจนถึง 32GB หรือมากกว่า เลือกให้เหมาะกับปริมาณรูปและวิดีโอที่จะถ่าย ถ้าถ่ายเยอะ เลือกความจุสูงหน่อยก็ดีครับ |
แอปพลิเคชัน (Mobile App) | การใช้งานสะดวกไหม? แอปเสถียรหรือเปล่า? รองรับทั้ง iOS และ Android หรือไม่? บางแบรนด์มีฟังก์ชันเสริมในแอปด้วย |
ระยะสัญญาณ Wi-Fi | ส่งสัญญาณได้ไกลแค่ไหน? ปกติจะประมาณ 5-10 เมตรสำหรับภายในอาคาร |
การใช้พลังงานแบตเตอรี่กล้อง | การ์ด Wi-Fi SD ใช้พลังงานจากกล้อง อาจทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วขึ้น ควรพิจารณาตรงนี้ด้วย |
ราคา | มีการ์ดหลายระดับราคา ตั้งแต่หลักร้อยปลายๆ ไปจนถึงพันกว่าบาท ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ ความจุ และความเร็ว |
การรับประกัน | มีประกันหรือไม่? กี่ปี? เคลมง่ายไหม? |
รีวิวจากผู้ใช้จริงในไทย | คนไทยที่เคยใช้จริงรีวิวไว้ว่าอย่างไร มีปัญหาอะไรที่พบบ่อยไหม |
ส่อง 10 ตัวเลือก (การ์ด Wi-Fi SD และทางเลือก) น่าจับตา ปี 2025!
อย่างที่บอกครับว่าการ์ด Wi-Fi SD เพียวๆ ในตลาดอาจจะไม่ได้มีถึง 10 แบรนด์ดังเปรี้ยงปร้างเหมือนแต่ก่อน แต่ผมรวมเอาตัวเลือกหลักๆ ที่ยังพอหาได้ และวิธีอื่นๆ ที่ใช้แก้ปัญหาเดียวกันมาให้พิจารณาครับ ถือเป็น 10 ทางออกสำหรับคนอยากโอนรูปจากกล้องเก่าแบบง่ายๆ ละกันเนอะ!
1. Transcend Wi-Fi SD Card
แบรนด์จากไต้หวัน เป็นอีกแบรนด์ที่ทำตลาดการ์ด Wi-Fi SD มานานและยังพอมีจำหน่ายอยู่
- รุ่นที่พบเห็น: ส่วนใหญ่เป็นรุ่น Class 10 ความจุ 16GB, 32GB
- จุดเด่น: ราคาเข้าถึงง่าย, มีแอปพลิเคชันสำหรับดูและดึงรูป, รองรับฟังก์ชัน Shoot & View (ถ่ายแล้วดูบนมือถือได้เลย)
- ข้อเสีย: สัญญาณ Wi-Fi อาจไม่ได้แรงมากนัก, แอปพลิเคชันและการอัปเดตเฟิร์มแวร์อาจจะไม่บ่อยเท่าแบรนด์ใหญ่ๆ ในอดีต
- เหมาะกับ: คนที่มองหาการ์ด Wi-Fi SD ในงบประมาณจำกัด เน้นใช้งานง่ายๆ เพื่อดึงรูปเข้ามือถือ
- ช่องทางซื้อ: Lazada, Shopee, ร้านอุปกรณ์ไอทีบางแห่ง
- ช่วงราคา: ประมาณ 800 - 1,500 บาท ขึ้นอยู่กับความจุและโปรโมชั่น
- รีวิว: "ใช้งานง่าย เสียบปุ๊บ เชื่อมต่อมือถือ ดึงรูปได้เลย". "ราคาไม่แพง ลองเอามาใช้กับกล้องเก่าโอเคเลย".
2. Toshiba FlashAir (Series ต่างๆ เช่น W-03, W-04)
แบรนด์จากญี่ปุ่น เป็นอีกหนึ่งผู้เล่นหลักในตลาดการ์ด Wi-Fi SD ที่ได้รับความนิยมพอสมควรในอดีต แม้ปัจจุบัน Kioxia (บริษัทที่แยกมาจาก Toshiba) จะดูแลส่วนนี้ แต่ชื่อ FlashAir ก็ยังเป็นที่รู้จัก
- รุ่นที่พบเห็น: FlashAir W-03, FlashAir W-04
- จุดเด่น: ใช้งานง่ายผ่านเบราว์เซอร์ หรือแอป FlashAir, รองรับการเชื่อมต่อพร้อมกันหลายอุปกรณ์ (สูงสุด 7 เครื่อง), มีฟังก์ชัน Internet pass-through ให้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไปพร้อมกับใช้งานการ์ดได้
- ข้อเสีย: ราคาอาจสูงกว่าแบรนด์อื่นเล็กน้อยในบางรุ่น, ความเข้ากันได้กับกล้องบางรุ่นอาจต้องตรวจสอบให้ดี
- เหมาะกับ: คนที่ต้องการการ์ด Wi-Fi SD ที่ใช้งานง่าย มีฟังก์ชันหลากหลาย และอาจต้องการเชื่อมต่อหลายอุปกรณ์พร้อมกัน
- ช่องทางซื้อ: Lazada, Shopee, ร้านอุปกรณ์กล้องบางแห่ง
- ช่วงราคา: ประมาณ 900 - 2,500 บาท ขึ้นอยู่กับรุ่น ความจุ และร้านค้า
- รีวิว: "ใช้ FlashAir สะดวกมาก ไม่ต้องลงแอปก็ได้ แค่เข้าผ่านเว็บก็ได้รูปแล้ว". "เชื่อมต่อเร็วดี แชร์ให้เพื่อนๆ ดึงรูปพร้อมกันได้เลย".
3. ez Share Wi-Fi SD Card / Adapter
แบรนด์ทางเลือก ที่มีทั้งตัวการ์ด Wi-Fi SD เอง และแบบอะแดปเตอร์ Micro SD to Wi-Fi SD
- รุ่นที่พบเห็น: ez Share Wi-Fi SD Card, ez Share Wi-Fi Micro SD Adapter
- จุดเด่น: แบบอะแดปเตอร์ช่วยให้ใช้ Micro SD ทั่วไปที่มีอยู่แล้วได้ แค่เสียบ Micro SD เข้าไปก็แปลงเป็นการ์ด Wi-Fi SD ได้เลย, ราคาเข้าถึงง่าย โดยเฉพาะแบบอะแดปเตอร์, มีสวิตช์เปิด-ปิด Wi-Fi ช่วยประหยัดพลังงาน
- ข้อเสีย: ความเร็วอาจไม่สูงเท่าการ์ด Wi-Fi SD ที่เป็นตัวการ์ดโดยตรง, ความเสถียรและการรองรับกล้องอาจแตกต่างกันไป
- เหมาะกับ: คนที่มี Micro SD อยู่แล้วและอยากลองใช้ฟังก์ชัน Wi-Fi SD โดยใช้งบน้อย, คนที่เน้นความคุ้มค่า
- ช่องทางซื้อ: Lazada, Shopee
- ช่วงราคา: แบบอะแดปเตอร์เริ่มต้นหลักร้อย, แบบการ์ดเริ่มต้นประมาณ 700 - 1,000 บาท
- รีวิว: "ซื้อแบบอะแดปเตอร์มาใช้กับ Micro SD เก่า ประหยัดไปเยอะเลย". "ใช้งานได้ดีกับกล้อง Nikon ตัวเก่า ดึงรูปเข้ามือถือได้สะดวก".
4. Eye-Fi (สำหรับอ้างอิงถึงแบรนด์บุกเบิก)
แบรนด์จากอเมริกา เป็นผู้บุกเบิกการ์ด Wi-Fi SD แม้ปัจจุบันจะหาซื้อยากหรือเลิกผลิตไปแล้วในบางซีรีส์ แต่ก็ยังมีการพูดถึงอยู่บ้างในฐานะแบรนด์เริ่มต้น
- รุ่นที่เคยนิยม: Eye-Fi Mobi, Eye-Fi Pro X2
- จุดเด่น (ในอดีต): แอปพลิเคชันใช้งานง่าย, รองรับการโอนไฟล์ RAW, มีฟังก์ชันเสริมหลากหลาย
- ข้อเสีย (ในปัจจุบัน): หาซื้อยากมากในตลาดทั่วไป, การสนับสนุน (Support) อาจจำกัด
- เหมาะกับ: นักสะสม หรือคนที่อาจเจอในตลาดมือสอง (แต่ควรเช็คสถานะการใช้งานและความเข้ากันได้ให้ดี)
- ช่องทางซื้อ: อาจต้องหาในตลาดมือสอง หรือร้านค้าออนไลน์ที่นำเข้าเป็นพิเศษ (ถ้ายังมี)
- ช่วงราคา: หลากหลายตามสภาพและความหายาก
- รีวิว: "เมื่อก่อนใช้ Eye-Fi คือสะดวกสุดๆ เลย". "เสียดายที่หาซื้อยากแล้ว"
เนื่องจากตัวเลือกที่เป็นการ์ด Wi-Fi SD เพียวๆ ที่ยัง Active ในตลาดปี 2025 มีค่อนข้างจำกัด ผมขอขยายความในส่วนที่เหลือโดยรวมเอา "ทางเลือกอื่นๆ สำหรับการโอนรูปจากกล้องที่ไม่มี Wi-Fi" เข้ามาอยู่ใน list นี้ด้วย เพื่อให้บทความนี้ครอบคลุมและเป็นประโยชน์กับคนที่ใช้กล้องเก่าจริงๆ ครับ
5. Card Reader + สาย OTG (USB On-The-Go)
อุปกรณ์เสริม ไม่ใช่การ์ด Wi-Fi SD โดยตรง แต่เป็นวิธีที่คนนิยมใช้โอนรูปจากกล้องเก่าเข้ามือถือ/แท็บเล็ต
- รุ่นที่พบเห็น: Card Reader ทั่วไป (USB-A, USB-C), สาย OTG (Micro USB, USB-C, Lightning)
- จุดเด่น: ราคาถูกมาก, ใช้งานง่าย แค่เสียบ Card Reader เข้ากับสาย OTG แล้วต่อกับมือถือ, ความเร็วในการโอนไฟล์ขึ้นอยู่กับ Card Reader และ SD Card ที่ใช้
- ข้อเสีย: ต้องพกอุปกรณ์หลายชิ้น (สาย OTG + Card Reader + SD Card), ต้องดึงการ์ดออกจากกล้อง
- เหมาะกับ: คนที่เน้นประหยัดงบ, ไม่ต้องการฟังก์ชัน Wi-Fi ซับซ้อน, ยอมแลกความสะดวกในการพกพากับราคา
- ช่องทางซื้อ: ร้านอุปกรณ์ไอที, ร้านค้าออนไลน์ทั่วไป (Lazada, Shopee)
- ช่วงราคา: เริ่มต้นหลักสิบถึงหลักร้อยบาท
- รีวิว: "วิธีนี้ง่ายสุด ถูกสุดแล้วสำหรับกล้องเก่า". "ซื้อสาย OTG กับ Card Reader มาใช้ สะดวกกว่าเสียบเข้าคอมเยอะ".
6. Lightning to SD Card Camera Reader (สำหรับ iPhone/iPad)
อุปกรณ์เสริมเฉพาะของ Apple สำหรับผู้ใช้ iPhone หรือ iPad
- รุ่นที่พบเห็น: Apple Lightning to SD Card Camera Reader
- จุดเด่น: ใช้งานง่ายมาก แค่เสียบ SD Card เข้าไป ก็ดึงรูปเข้า iPhone/iPad ได้โดยตรง, เป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเฉพาะ มั่นใจเรื่องความเข้ากันได้
- ข้อเสีย: ใช้ได้กับอุปกรณ์ Apple ที่มีพอร์ต Lightning เท่านั้น, ราคาสูงกว่า Card Reader ทั่วไป
- เหมาะกับ: ผู้ใช้ iPhone หรือ iPad ที่ต้องการความสะดวกสูงสุดในการดึงรูปจาก SD Card
- ช่องทางซื้อ: Apple Store, Studio7, BaNANA IT, ร้านค้าออนไลน์ที่เชื่อถือได้
- ช่วงราคา: ประมาณ 1,000 - 1,500 บาท
- รีวิว: "เร็วมาก! เสียบปุ๊บเลือกรูปได้เลย ไม่ต้องรอโหลด". "ราคาแรงหน่อย แต่คุ้มค่าสำหรับคนใช้ไอโฟน"
7. USB-C Card Reader (สำหรับ Android รุ่นใหม่/iPad Pro/คอมพิวเตอร์)
อุปกรณ์เสริม สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้พอร์ต USB-C
- รุ่นที่พบเห็น: Card Reader ที่มีหัวเป็น USB-C โดยตรง
- จุดเด่น: ใช้งานง่าย เสียบตรง ไม่ต้องผ่านสาย OTG ให้ยุ่งยาก (ถ้ามือถือรองรับ), ความเร็วในการโอนไฟล์ดี
- ข้อเสีย: ใช้ได้เฉพาะอุปกรณ์ที่มีพอร์ต USB-C, ยังต้องดึงการ์ดออกจากกล้อง
- เหมาะกับ: ผู้ใช้มือถือ Android รุ่นใหม่ๆ, iPad Pro/Air, หรือคอมพิวเตอร์ที่มีพอร์ต USB-C ที่ต้องการ Card Reader แบบเสียบตรง
- ช่องทางซื้อ: ร้านอุปกรณ์ไอที, ร้านค้าออนไลน์ทั่วไป (Lazada, Shopee)
- ช่วงราคา: หลักร้อยบาทขึ้นไป
- รีวิว: "เสียบตรงกับมือถือ USB-C สะดวกดี ไม่ต้องพกสายเยอะ"
สำหรับหัวข้อที่ 8-10 เนื่องจากตัวเลือก Wi-Fi SD Card เฉพาะทางมีน้อยแล้วจริงๆ และข้อมูลปี 2025 ก็เน้นไปที่ตัวเลือกอื่นหรือการ์ด SD ธรรมดา ผมขอสรุปว่าในตลาดปัจจุบัน (ปี 2025) ตัวเลือกหลักๆ ของ "การ์ด Wi-Fi SD ที่ยังพอหาซื้อได้และเป็นที่รู้จัก" จะมีอยู่เพียงไม่กี่แบรนด์ตามที่กล่าวมาข้างต้น (Transcend, Toshiba FlashAir, ez Share) ส่วนตัวเลือกอื่นๆ อีก 7 ข้อที่เหลือจะเป็น "วิธีหรืออุปกรณ์ทางเลือก" ที่ใช้ในการแก้ปัญหา "โอนรูปจากกล้องที่ไม่มี Wi-Fi" ได้เช่นกัน โดยเน้นที่ความสะดวกและงบประมาณที่แตกต่างกันไปครับ
ดังนั้น "10 อันดับ" ในบริบทของปี 2025 สำหรับหัวข้อนี้ จึงเป็นการรวบรวมตัวเลือกทั้ง การ์ด Wi-Fi SD โดยตรง และ อุปกรณ์ทางเลือกในการโอนรูปแบบไร้สาย/ง่ายๆ จากกล้องที่ไม่มี Wi-Fi ครับ
เพื่อไม่ให้บทความยาวเกินไป ผมจะสรุปในส่วนของ FAQ และบทสรุปสำหรับตัวเลือกเหล่านี้รวมกันไปเลยนะครับ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) สไตล์คนอยากโอนรูปจากกล้องเก่า!
Q: การ์ด Wi-Fi SD ใช้กับกล้องรุ่นเก่าของฉันได้ไหม?
A: ต้องเช็คก่อนซื้อสำคัญที่สุดเลยครับ! การ์ด Wi-Fi SD บางรุ่นอาจไม่รองรับกล้องบางยี่ห้อหรือบางรุ่นที่เก่ามากๆ ลองค้นหารุ่นการ์ด + รุ่นกล้อง ใน Google หรือดูรายชื่อรุ่นที่รองรับบนเว็บไซต์ผู้ผลิตการ์ดครับ
Q: ใช้การ์ด Wi-Fi SD แล้วเปลืองแบตกล้องไหม?
A: ใช่ครับ การ์ด Wi-Fi SD ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่กล้องเพื่อปล่อยสัญญาณ Wi-Fi ซึ่งจะทำให้แบตหมดเร็วกว่าใช้การ์ด SD ธรรมดาเล็กน้อยครับ ถ้าใช้งานต่อเนื่องนานๆ อาจต้องเตรียมแบตสำรองไว้ด้วย
Q: ความเร็วของการ์ด Wi-Fi SD เป็นยังไง? โอนไฟล์ RAW ได้ไหม?
A: ความเร็วในการโอนไฟล์ผ่าน Wi-Fi อาจจะไม่เร็วเท่าเสียบการ์ดเข้าคอมโดยตรงครับ ส่วนใหญ่เหมาะกับการโอนไฟล์ JPEG เพื่อแชร์ลงโซเชียล การโอนไฟล์ RAW หรือวิดีโอ อาจใช้เวลานาน หรือบางรุ่นอาจไม่รองรับเต็มที่ (เช็คสเปกการ์ดแต่ละรุ่น)
Q: ระหว่างซื้อการ์ด Wi-Fi SD กับใช้ Card Reader + OTG อันไหนคุ้มกว่า?
A: ถ้าเน้น ประหยัดงบ และไม่ติดกับการพกอุปกรณ์เสริมเล็กน้อย Card Reader + OTG คุ้มกว่ามาก ครับ ราคาถูกกว่าเยอะ แต่ถ้าเน้น ความสะดวกสูงสุดแบบไร้สายจริงๆ และไม่ติดเรื่องงบประมาณที่สูงกว่า ก็เลือก การ์ด Wi-Fi SD หรือ อะแดปเตอร์ Wi-Fi SD ครับ
Q: ซื้อการ์ด Wi-Fi SD จาก Lazada/Shopee เชื่อถือได้ไหม?
A: ควรเลือกซื้อจาก ร้านค้าที่เป็น Official Store หรือร้านที่มีเรตติ้งดีๆ มีรีวิวจากผู้ซื้อคนอื่นเยอะๆ บนแพลตฟอร์มครับ ระวังร้านที่ราคาถูกผิดปกติ อาจเป็นของปลอมได้ การซื้อจากร้านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทยมักจะมั่นใจได้มากกว่าเรื่องคุณภาพและการรับประกัน
สรุปและคำแนะนำ: เลือกให้เหมาะกับใจและกล้อง!
จากที่ดูกันมา จะเห็นว่าการ์ด Wi-Fi SD ยังมีประโยชน์อยู่มากสำหรับคนที่ใช้กล้องรุ่นเก่าที่ไม่มี Wi-Fi ในตัว หรืออยากได้ทางเลือกในการโอนรูปที่สะดวกขึ้นครับ
- ถ้าคุณเป็นคน งบจำกัดสุดๆ ไม่ติดเรื่องพกอุปกรณ์เสริมเล็กน้อย และอยากได้วิธีโอนรูปที่ชัวร์ๆ แนะนำให้ใช้ Card Reader + สาย OTG ครับ
- ถ้าอยากได้ความสะดวกแบบ ไร้สายแต่เน้นความคุ้มค่า ลองดู ez Share Wi-Fi Micro SD Adapter ที่ใชักับ Micro SD ที่มีอยู่แล้วได้ หรือ Transcend Wi-Fi SD Card รุ่นเริ่มต้นครับ
- ถ้าต้องการ การ์ด Wi-Fi SD แท้ๆ จากแบรนด์ที่มีชื่อเสียง ใช้งานง่าย รองรับหลายอุปกรณ์ ลองดู Toshiba FlashAir ครับ
- ถ้าเป็น ผู้ใช้ iPhone/iPad และต้องการความสะดวกสูงสุด จบในตัว แนะนำ Apple Lightning to SD Card Camera Reader ครับ
สิ่งที่ควรระวังมากๆ คือ ความเข้ากันได้ ของการ์ด Wi-Fi SD กับกล้องของคุณนะครับ ควรเช็คข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ให้ละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อ และอย่าลืมว่าการใช้การ์ด Wi-Fi SD อาจทำให้แบตเตอรี่กล้องหมดเร็วกว่าเดิมเล็กน้อยด้วยครับ!
มาแชร์ประสบการณ์ หรือมีคำถาม ถามมาได้เลยจ้า!
เพื่อนๆ คนไหนเคยใช้การ์ด Wi-Fi SD หรือใช้วิธีอื่นๆ ในการโอนรูปจากกล้องเก่าเข้ามือถือบ้าง มาแชร์ประสบการณ์กันหน่อยครับว่าเป็นยังไง สะดวกจริงไหม หรือมีปัญหาอะไรบ้าง คอมเมนต์พูดคุยกันได้เลยนะคร้าบ! 👇
ถ้าใครอ่านแล้วยังงงๆ หรืออยากได้พิกัดร้าน/ลิงก์สำหรับเช็คราคาของแต่ละตัวเลือกเพิ่มเติม พิมพ์คำว่า "จัดลิงก์ให้หน่อย!" เดี๋ยวผมไปรวบรวมมาให้เป็นพิเศษเลยจ้า! แล้วเจอกันใหม่ในบทความหน้านะครับ ขอให้ทุกคนสนุกกับการถ่ายรูปและแชร์โมเมนต์ดีๆ ครับ! 👋