ราคา Wireless Access Point เลือกซื้อแบบไหนดี สำหรับบ้านหรือสำนักงาน


สวัสดีค่าาา เหล่าพ่อบ้านแม่บ้าน หรือชาวออฟฟิศทั้งหลาย! เคยไหมที่ต้องเจอปัญหา Wi-Fi อืดเป็นเต่าคลาน หรือสัญญาณอ่อนจนแทบหลุดออกจากจักรวาลอินเทอร์เน็ต? ถ้าเคย! แสดงว่าถึงเวลาที่เราต้องมาทำความรู้จักกับพระเอกขี่ม้าขาวที่จะมาช่วยกู้ชีพสัญญาณ Wi-Fi ของเรา นั่นก็คือ Wireless Access Point (WAP) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า Access Point (AP) นั่นเองจ้า! วันนี้เราจะมาเม้าท์มอยกันถึงเรื่อง Access Point แบบจัดเต็ม เลือกซื้อแบบไหนดี ราคาเป็นยังไง มีโปรโมชั่นอะไรน่าโดนบ้าง เตรียมตัวให้พร้อม แล้วไปดูกันเล้ยยย!
1. Wireless Access Point มันคืออะไรกันนะ?
เอาล่ะ เริ่มต้นกันที่ว่าเจ้า Access Point นี่มันคืออะไร? พูดง่ายๆ เลยนะ มันคืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เหมือน ตัวกระจายสัญญาณ Wi-Fi ออกไปเพื่อให้เหล่าอุปกรณ์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นมือถือ โน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต หรือแม้แต่สมาร์ททีวี ได้เชื่อมต่อเข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตแบบไร้สายได้สะดวกโยธิน ถ้าเทียบกับเราเตอร์ (Router) ที่ส่วนใหญ่จะทำหน้าที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการแล้วปล่อยสัญญาณ Wi-Fi ออกมาด้วย เจ้า Access Point เนี่ยเค้าจะเน้นไปที่การขยายและกระจายสัญญาณ Wi-Fi ในพื้นที่ที่สัญญาณเดิมไปไม่ถึง หรือในพื้นที่ที่มีผู้ใช้งานเยอะๆ แทน
เหมาะกับใคร? เหมาะมากๆ เลยสำหรับบ้านหลังใหญ่ๆ ที่เราเตอร์ตัวเดียวเอาไม่อยู่ หรือออฟฟิศที่มีหลายห้อง มีผู้ใช้งานเยอะๆ ต้องการให้ทุกคนเชื่อมต่อได้อย่างเสถียรและรวดเร็ว แบรนด์ดังๆ ในตลาดก็มีเพียบ ไม่ว่าจะเป็น TP-Link จากจีนที่ขึ้นชื่อเรื่องความคุ้มค่าและใช้งานง่าย Ubiquiti (UniFi) จากอเมริกา ที่เน้นโซลูชันระดับองค์กร จัดการง่ายผ่าน Controller D-Link จากไต้หวัน ที่มีสินค้าหลากหลายระดับราคา หรือจะเป็นแบรนด์อื่นๆ อย่าง Zyxel, Ruijie, Netgear, Cisco ก็มีให้เลือกสรรตามงบและความต้องการเลยจ้า
2. ราคาในตลาดไทยเป็นยังไงบ้าง?
มาถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่ทุกคนรอคอย ราคา Access Point ในตลาดไทยนี่มีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักแสนเลยนะ! ขึ้นอยู่กับสเปก ฟังก์ชัน และแบรนด์เป็นหลัก
- รุ่นเริ่มต้น/ใช้งานตามบ้านทั่วไป: ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 600 - 3,000 บาท (฿) กลุ่มนี้มักจะเป็น Wi-Fi 4 (N) หรือ Wi-Fi 5 (AC) ความเร็วไม่สูงมาก เหมาะกับพื้นที่ไม่ใหญ่มาก หรือผู้ใช้งานไม่เยอะ เช่น TP-Link TL-WA801N (ประมาณ 500-700 บาท), D-Link DAP-1665 (ประมาณ 1,700-1,800 บาท)
- รุ่นระดับกลาง/Home Office/สำนักงานขนาดเล็ก: ราคาจะขยับขึ้นมาที่ประมาณ 3,000 - 10,000 บาท (฿) กลุ่มนี้จะเป็น Wi-Fi 5 (AC) หรือ Wi-Fi 6 (AX) ที่มีความเร็วสูงขึ้น รองรับผู้ใช้งานได้มากขึ้น และมักจะมีฟังก์ชันการจัดการที่หลากหลายขึ้น เช่น TP-Link EAP Series (Omada) หรือ Ubiquiti UniFi Lite/Pro อย่าง TP-Link EAP610 (Wi-Fi 6) ราคาประมาณ 3,000-4,000 บาท Ubiquiti UniFi 6 Lite ราคาประมาณ 4,000-5,000 บาท
- รุ่นระดับสูง/สำนักงานขนาดใหญ่/องค์กร: ราคาก็จะโดดไปที่ 10,000 บาท (฿) ขึ้นไป จนถึงหลักแสนเลยก็มี กลุ่มนี้เป็น Wi-Fi 6 (AX) หรือ Wi-Fi 7 (BE) ประสิทธิภาพสูง รองรับผู้ใช้งานได้มหาศาล มีฟังก์ชันบริหารจัดการขั้นสูง เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการความเสถียรและปลอดภัยสูงสุด เช่น Ubiquiti UniFi U6 Pro/Mesh, Ubiquiti UniFi U7 Series, Cisco Catalyst Series
แหล่งช้อปปิ้งยอดฮิตก็หนีไม่พ้นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเจ้าใหญ่อย่าง Lazada และ Shopee ที่มีร้านค้า Official Store และร้านไอทีต่างๆ มาลงขายเพียบ นอกจากนี้ ร้านค้าไอทีชั้นนำอย่าง JIB, Banana IT, Power Buy ก็มี Access Point วางขายเช่นกัน โดยเฉพาะรุ่นที่เหมาะกับผู้ใช้งานทั่วไปถึงระดับกลาง ส่วนรุ่นระดับองค์กรอาจจะต้องดูที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายโดยเฉพาะ
เรื่องราคา ถ้าเป็นสินค้านำเข้า บางทีราคาในไทยอาจจะสูงกว่าราคาต่างประเทศเล็กน้อยจากเรื่องภาษีและค่าขนส่ง แต่ก็ไม่ได้ต่างกันจนน่าตกใจอะไรมากนักเมื่อเทียบกับความสะดวกในการซื้อและการรับประกันในประเทศนะ
3. เทียบราคากับสินค้าประเภทเดียวกัน แล้วเป็นไง?
ถ้าเทียบ Access Point กับอุปกรณ์กระจายสัญญาณตัวอื่นๆ เช่น เราเตอร์ (Router) หรือ Range Extender/Repeater เนี่ย Access Point มักจะมีราคาสูงกว่า Range Extender/Repeater ชัดเจน เพราะ Access Point เค้าออกแบบมาเพื่อกระจายสัญญาณใหม่ด้วยประสิทธิภาพเต็มที่ ในขณะที่ Repeater แค่ขยายสัญญาณเดิม ทำให้ความเร็วและเสถียรภาพสู้ Access Point ไม่ได้
ส่วนกับเราเตอร์ บางทีเราเตอร์รุ่นกลางๆ ขึ้นไปก็มีโหมด Access Point ในตัวให้ใช้ได้ แต่ถ้าเป็น Access Point โดยเฉพาะ เค้าจะเน้นฟังก์ชันการกระจายสัญญาณให้แรงและเสถียรที่สุด มักจะรองรับผู้ใช้งานได้เยอะกว่า และบางรุ่น (โดยเฉพาะเกรดองค์กร) จะต้องทำงานร่วมกับ Controller เพื่อการบริหารจัดการเครือข่ายทั้งหมด ซึ่งเราเตอร์บ้านๆ ทั่วไปจะทำแบบนี้ไม่ได้ ดังนั้นถ้าต้องการความเสถียร ครอบคลุมพื้นที่กว้าง และรองรับผู้ใช้งานเยอะ Access Point คือตัวเลือกที่ดีกว่า แต่ก็แลกมาด้วยราคาที่สูงกว่านั่นเองจ้า
ยกตัวอย่างง่ายๆ Access Point Wi-Fi 6 ระดับเริ่มต้นอย่าง TP-Link EAP610 ราคาประมาณ 3 พันกว่าบาท ในขณะที่ Range Extender Wi-Fi 6 อาจจะแค่หลักพันต้นๆ แต่ประสิทธิภาพในการกระจายสัญญาณและความเสถียรก็ต่างกันเยอะนะ
4. ซื้อแล้วได้อะไรมาบ้างนะ?
เวลาซื้อ Access Point เนี่ย สิ่งที่จะได้มาในกล่องหลักๆ ก็จะมีตัวเครื่อง Access Point เอง และคู่มือการติดตั้งเบื้องต้น สำหรับรุ่นที่รองรับ PoE (Power over Ethernet) คือรับไฟผ่านสาย LAN ได้เนี่ย บางรุ่นเค้าจะมี PoE Injector แถมมาให้ด้วยนะ ทำให้เราไม่ต้องวุ่นวายหาปลั๊กไฟใกล้ๆ จุดติดตั้ง แค่เสียบสาย LAN เส้นเดียวก็ใช้งานได้เลย สะดวกมากๆ แต่บางรุ่น โดยเฉพาะรุ่นเกรดองค์กร อาจจะไม่มี PoE Injector แถมมาให้ ต้องซื้อแยกเอง หรือต้องมี Switch ที่รองรับ PoE อยู่แล้ว
เรื่อง ค่าขนส่ง ถ้าซื้อออนไลน์ส่วนใหญ่จะมีค่าส่งนะจ๊ะ แต่หลายร้าน หลายแพลตฟอร์มก็มีโปรโมชั่นส่งฟรีอยู่เรื่อยๆ ก็ต้องคอยเช็คกันดู
สิ่งที่คนไทยให้ความสำคัญมากๆ เลยก็คือ การรับประกัน! Access Point แบรนด์ดังๆ ที่ขายในไทยมักจะมาพร้อมการรับประกันสินค้าอย่างน้อย 1 ปี บางแบรนด์ อย่าง TP-Link หรือ D-Link ในบางรุ่น ก็ให้ประกันแบบ Limited Lifetime ไปเลยนะ! คือประกันยาวนานตราบเท่าที่สินค้ารุ่นนั้นยังผลิตอยู่ หรือตามเงื่อนไขของแบรนด์ ซึ่งอันนี้สบายใจได้เลย เพราะ Access Point เป็นอุปกรณ์ที่เราเปิดใช้งานแทบจะตลอดเวลา การรับประกันยาวๆ นี่อุ่นใจกว่าเยอะ
ส่วนของแถม หรือโปรโมชั่นอื่นๆ ก็แล้วแต่ร้านเลย บางทีอาจจะมีแถมสาย LAN หรือมีคูปองส่วนลดพิเศษให้ ก็ต้องหมั่นติดตามโปรโมชั่นของแต่ละร้านไว้
5. มีช่วงไหนน่าซื้อเป็นพิเศษมั้ย?
ถ้าอยากได้ Access Point ในราคาดีๆ ช่วงเวลาแห่งการช้อปปิ้งก็คือช่วง เทศกาลลดราคาใหญ่ๆ นั่นแหละจ้า! ไม่ว่าจะเป็นเทศกาล Double Digit Sale ยอดฮิตอย่าง 11.11, 12.12 หรือช่วงกลางปีอย่าง PAYDAY, 6.6, 7.7 บนแพลตฟอร์ม Lazada และ Shopee ช่วงนี้ร้านค้าต่างๆ มักจะจัดโปรโมชั่นลดราคา มีโค้ดส่วนลดพิเศษ หรือมีโปรโมชั่นร่วมกับบัตรเครดิตต่างๆ เพียบ
นอกจากนี้ ช่วงเทศกาลสำคัญของไทยอย่าง สงกรานต์ หรือ ปีใหม่ หลายร้านค้าไอทีก็มักจะจัดโปรโมชั่นลดราคาเช่นกัน หรือแม้แต่ร้านค้า Official Store บน Lazada/Shopee เองก็มีจัดโปรโมชั่นลดราคาบ่อยๆ อยู่แล้ว ไม่ต้องรอถึงช่วงเทศกาลใหญ่ก็ได้ส่วนลดดีๆ เหมือนกัน
คำแนะนำคือ ถ้าไม่ได้รีบใช้งานมากๆ การรอซื้อในช่วงโปรโมชั่นมีโอกาสได้ Access Point ในราคาที่คุ้มค่ากว่าเดิมเยอะเลย หรือถ้าเจอร้านที่จัดโปรดีๆ อยู่แล้ว ก็จัดไปได้เลย ไม่ต้องลังเล!
6. รีวิวและฟีดแบ็กจากผู้ใช้ในไทยเป็นยังไงบ้างนะ?
จากที่ลองไปส่องๆ ดูตามรีวิวใน Pantip หรือในหน้าร้านค้าออนไลน์ต่างๆ เสียงตอบรับจากผู้ใช้ Access Point ในไทยส่วนใหญ่จะค่อนข้างพอใจกับประสิทธิภาพที่ได้เมื่อเทียบกับราคา โดยเฉพาะ Access Point แบรนด์ยอดนิยมอย่าง TP-Link และ Ubiquiti
- TP-Link: คนไทยมักจะรีวิวว่า ติดตั้งง่าย ใช้งานไม่ซับซ้อน ราคาเป็นมิตรกับงบประมาณ สัญญาณดีครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างในระดับหนึ่ง เหมาะสำหรับใช้งานในบ้านหรือสำนักงานขนาดเล็ก รุ่นยอดฮิตก็จะเป็นพวกรุ่นราคาไม่แรงอย่าง TL-WA801N หรือรุ่น Omada ที่จัดการผ่านแอปได้ง่าย
- Ubiquiti (UniFi): แบรนด์นี้จะได้รับคำชมเรื่อง ความเสถียร และระบบการจัดการที่ทำได้หลากหลายผ่าน UniFi Controller เหมาะสำหรับคนที่ต้องการระบบเครือข่ายที่ดูเป็นมืออาชีพ รองรับผู้ใช้งานได้เยอะ และต้องการฟังก์ชันขั้นสูง แต่ราคาก็จะสูงกว่า TP-Link ในสเปกใกล้เคียงกัน ผู้ใช้บางคนอาจจะบอกว่าการตั้งค่าซับซ้อนกว่าแบรนด์บ้านๆ ทั่วไปนิดหน่อย แต่ถ้าเป็นสายเน็ตเวิร์กอยู่แล้วจะชอบมาก
- D-Link: มีสินค้าหลายระดับราคา ตั้งแต่รุ่นบ้านๆ จนถึงรุ่นสำหรับองค์กร ฟีดแบ็กก็จะแตกต่างกันไปตามรุ่น แต่โดยรวมก็ถือเป็นแบรนด์ที่คนไทยคุ้นเคยและหาซื้อได้ง่าย
จุดที่ผู้บริโภคไทยมักจะให้ความสำคัญและรีวิวถึงบ่อยๆ ก็คือเรื่อง ความแรงของสัญญาณ ความครอบคลุมของพื้นที่ และ ความเสถียร ในการเชื่อมต่อ บางคนก็ดูเรื่องการรองรับ PoE ด้วยว่าเป็นแบบ Active หรือ Passive PoE เพราะมีผลต่อการเลือก PoE Injector หรือ Switch ที่จะมาใช้งานร่วมกัน และที่ขาดไม่ได้คือเรื่อง การรับประกัน เพราะเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การมีการรับประกันที่ดีทำให้ผู้ใช้สบายใจกว่าจ้า
7. แล้วจะไปหาซื้อได้ที่ไหนล่ะทีนี้?
ช่องทางการซื้อ Access Point ในไทยมีให้เลือกเพียบเลยจ้า สะดวกแบบไหนจัดไปได้เลย!
- แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซใหญ่: อย่างที่บอกไปว่า Lazada และ Shopee คือแหล่งใหญ่เลย มีร้านค้าให้เลือกเยอะมากๆ ทั้งร้านค้า Official Store ของแบรนด์ต่างๆ และร้านค้าไอทีทั่วไป ข้อดีคือเปรียบเทียบราคาได้ง่าย มีรีวิวจากผู้ซื้อคนอื่นๆ ให้ดู มีระบบการชำระเงินที่ปลอดภัย และมีโปรโมชั่นลดราคาบ่อยๆ ข้อควรระวังคือต้องเลือกร้านที่น่าเชื่อถือ ดูคะแนนรีวิวของร้าน และอ่านรายละเอียดสินค้ากับเงื่อนไขการรับประกันให้ดีก่อนซื้อ
- ร้านค้าไอทีชั้นนำ: ร้านอย่าง JIB, Banana IT, Power Buy ก็มี Access Point ให้เลือกซื้อนะ เหมาะสำหรับคนที่อยากไปดูสินค้าของจริง สอบถามข้อมูลกับพนักงานได้โดยตรง หรืออยากได้สินค้าเลยไม่ต้องรอจัดส่ง บางทีหน้าร้านก็มีโปรโมชั่นพิเศษที่ไม่เหมือนในออนไลน์ด้วยนะ
- ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย/โซลูชันเน็ตเวิร์ก: ถ้าต้องการ Access Point สำหรับสำนักงานขนาดใหญ่ หรือต้องการคำแนะนำในการออกแบบระบบเครือข่าย การซื้อกับร้านค้าตัวแทนจำหน่ายโดยเฉพาะอย่าง Addin.co.th, Sysnet Center, Kap Network หรือ High-wireless จะได้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง ซึ่งเหมาะกับงานติดตั้งที่ซับซ้อน หรือต้องการบริการหลังการขายที่ครบวงจร
- ร้านค้าออนไลน์อื่นๆ: นอกจากแพลตฟอร์มใหญ่ ยังมีร้านค้าไอทีออนไลน์อื่นๆ ที่ขาย Access Point โดยเฉพาะ ซึ่งบางร้านอาจจะมีรุ่นที่หลากหลายกว่า หรือมีราคาที่แตกต่างกันไป ก็ลองเปรียบเทียบดูได้
ไม่ว่าจะเลือกซื้อช่องทางไหน อย่าลืมเช็คเงื่อนไขการรับประกันและการคืนสินค้าให้ดีด้วยนะจ๊ะ
8. สรุปแล้วน่าซื้อไหม? เหมาะกับใคร?
มาถึงบทสรุปแล้ว! ถามว่า Access Point น่าซื้อไหม? ถ้าคุณกำลังเจอปัญหาสัญญาณ Wi-Fi อ่อน หรืออยากขยายพื้นที่การใช้งาน Wi-Fi ให้ครอบคลุมและเสถียรขึ้น น่าซื้อมากๆ เลยจ้า!
เหมาะกับใคร?
- เหมาะกับบ้านที่มีพื้นที่กว้าง หลายชั้น หรือมีผนังกั้นเยอะ: เราเตอร์ตัวเดียวอาจจะกระจายสัญญาณไปไม่ถึงทุกมุม Access Point จะมาช่วยเติมเต็มสัญญาณในจุดอับได้
- เหมาะกับบ้านหรือสำนักงานที่มีผู้ใช้งานเยอะ: Access Point สามารถรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมากพร้อมกันได้ดีกว่าเราเตอร์บ้านๆ ทำให้การใช้งานลื่นไหล ไม่กระตุก
- เหมาะกับคนที่ต้องการความเสถียรและความเร็วสูง: Access Point โดยเฉพาะมักจะมีประสิทธิภาพในการกระจายสัญญาณที่ดีกว่า ทำให้ได้ความเร็วอินเทอร์เน็ตที่เต็มที่และคงที่
- เหมาะกับคนที่ต้องการบริหารจัดการเครือข่ายได้ง่าย (โดยเฉพาะรุ่นเกรดองค์กรที่มี Controller): เหมาะกับสำนักงานที่ต้องการควบคุมการใช้งานอินเทอร์เน็ต ตั้งค่า Guest Wi-Fi หรือตรวจสอบการเชื่อมต่อต่างๆ ได้สะดวก
ส่วนจะเลือกรุ่นสูงหรือรุ่นต่ำ ก็ขึ้นอยู่กับ งบประมาณ และ ความต้องการในการใช้งาน เลยจ้า
- ถ้าใช้งานใน บ้านพักอาศัยทั่วไป พื้นที่ไม่ใหญ่มาก ผู้ใช้งานไม่เยอะ Access Point รุ่นเริ่มต้นหรือรุ่นระดับกลางก็เพียงพอแล้ว ราคาหลักพันนิดๆ ก็ใช้งานได้ดีคุ้มค่า
- ถ้าใช้งานใน Home Office, สำนักงานขนาดเล็ก หรือบ้านที่พื้นที่กว้างมากๆ ผู้ใช้งานหลายสิบคน ควรขยับไปดู Access Point ระดับกลางถึงสูง ที่รองรับ Wi-Fi 6 ขึ้นไป และอาจจะพิจารณารุ่นที่รองรับระบบ Omada (TP-Link) หรือ UniFi (Ubiquiti) เพื่อการจัดการที่ง่ายขึ้น
- ถ้าใช้งานใน สำนักงานขนาดใหญ่ หรือองค์กรที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก ต้องการความเสถียร ความปลอดภัย และฟังก์ชันบริหารจัดการขั้นสูง ควรเลือกรุ่นระดับองค์กรที่มี Controller โดยเฉพาะ ซึ่งราคาก็จะสูงขึ้นไปตามประสิทธิภาพ
สรุปแล้ว Access Point เป็นอุปกรณ์ที่ คุ้มค่าแก่การลงทุน ถ้าคุณกำลังเจอปัญหา Wi-Fi ที่ทำให้หงุดหงิดใจ การมี Access Point ดีๆ สักตัวจะช่วยยกระดับประสบการณ์การใช้อินเทอร์เน็ตในบ้านหรือที่ทำงานของคุณให้ดีขึ้นได้อย่างแน่นอนจ้า!
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนที่กำลังมองหา Access Point อยู่นะจ๊ะ ขอให้ได้ Access Point ที่ถูกใจ สัญญาณแรงทั่วถึง ใช้งานอินเทอร์เน็ตกันได้อย่างมีความสุขจ้า! บ๊ายบายยย!
วิดีโอที่เกี่ยวข้อง
- ถ้าเราจะเลือกซื้อ Access Point แรง ๆ ต้องดูยังไง EP.18 | #Fact4U ...
- PaiboonTech | 📶เลือก Access Point ยังไงให้ครอบคลุมทั้งออฟฟิศ ...
- Access Point คืออะไร ทำหน้าที่อะไร? ควรเลือก Access Point แบบ ...
- 5 ข้อควรรู้ ก่อนซื้อ Router ใหม่ สเปคและฟีเจอร์ต้องมีอะไรบ้าง
- รีวิว TP-link Omada ระบบเน็ตเวิคโซลูชั่นสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
แนะนำสำหรับคุณ
ไส้กรองน้ำ Lux Alva ราคาล่าสุด เปลี่ยนเมื่อไหร่ดี?
Ableton Push 2: ราคาล่าสุด ปี 2568 และรีวิวคอนโทรลเลอร์สำหรับทำเพลง
คาลิมบา (Kalimba) ราคาถูก เริ่มต้นกี่บาท? ยี่ห้อไหนดีสำหรับมือใหม่
รวมราคา Samsung Galaxy J Prime ทุกรุ่นฮิต (J2, J5, J7 Prime)
กระเป๋า Porter จากญี่ปุ่น: ราคาล่าสุด ปี 2568 รุ่นไหนยอดนิยม ซื้อที่ไหนดี?
หมวกเบสบอล LA Dodgers ราคาล่าสุด: ซื้อของแท้ได้ที่ไหน?