เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถยนต์ ราคาเท่าไหร่? อู่หรือศูนย์บริการ ที่ไหนคุ้มค่ากว่ากัน?

สวัสดีครับพี่น้องชาวสองล้อ (อ้าว ไม่ใช่! นี่มันเรื่องรถยนต์นี่หว่า!) เอาเป็นว่า สวัสดีชาวสี่ล้อที่น่ารักทุกท่าน! วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องใกล้ตัว ใกล้เครื่องยนต์ เอ้ย! ใกล้กระเป๋าสตางค์มากๆ นั่นก็คือเรื่องของการ "เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง" นั่นเอง! เชื่อว่าหลายคนคงเคยสงสัยกันใช่มั้ยล่ะว่า ค่าเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเนี่ยมันเท่าไหร่กันแน่? แล้วถ้าจะเปลี่ยน ควรไปที่ "อู่" หรือ "ศูนย์บริการ" ที่ไหนมันจะคุ้มกว่ากันล่ะ? วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจให้แบบหมดเปลือก ตามสไตล์คนรู้ใจรถรู้ใจคุณ!

1. เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องคืออะไร ทำไมรถเราต้องโดน?

ก่อนอื่นเลย มาทำความเข้าใจกันก่อนว่าน้ำมันเครื่องเนี่ยมันคืออะไร? มันคือน้ำมันหล่อลื่นที่สำคัญโคตรๆ สำหรับเครื่องยนต์รถเราเลยครับพี่น้อง คิดง่ายๆ มันก็เหมือนเลือดในร่างกายเรานั่นแหละ! คอยช่วยให้ชิ้นส่วนต่างๆ ในเครื่องยนต์ที่มันเคลื่อนไหวเสียดสีกันเนี่ย ทำงานได้อย่างราบรื่น ไม่ติดขัด ลดการสึกหรอ แถมยังช่วยระบายความร้อน ลดสนิม และทำความสะอาดสิ่งสกปรกต่างๆ ด้วยนะ

ถ้าเราปล่อยให้น้ำมันเครื่องมันเก่า สกปรก ข้นหนืด หรือพร่องไป มันจะส่งผลเสียกับเครื่องยนต์แบบเต็มๆ เลยนะ ทั้งอัตราเร่งไม่ดี รถอืด กินน้ำมันมากขึ้น เครื่องยนต์เสียงดัง อายุเครื่องสั้นลงไปอีก ที่สำคัญคือ ถ้าปล่อยไว้นานๆ จนเครื่องพังขึ้นมา ค่าซ่อมมันจะบานปลายกว่าค่าเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเยอะมหาศาลเลยนะจะบอกให้!

สรุปง่ายๆ คือ การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะที่กำหนดเนี่ย เป็นการบำรุงรักษารถยนต์ขั้นพื้นฐานที่ โคตรจำเป็น และ ห้ามละเลยเด็ดขาด! เพราะมันช่วยยืดอายุเครื่องยนต์และทำให้รถเราวิ่งได้เต็มสมรรถนะไปนานๆ นั่นเองครับ

2. ค่าตัวในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ประมาณเท่าไหร่กันนะ?

มาถึงประเด็นร้อน! เรื่องราคาค่าเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเนี่ย มันไม่ได้มีราคาตายตัวเป๊ะๆ นะครับ มันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยเลย ทั้งประเภทของน้ำมันเครื่องที่เราเลือกใช้ ยี่ห้อน้ำมันเครื่อง รุ่นรถยนต์ของเรา และที่สำคัญคือเราเลือกไปเปลี่ยนที่ไหน ระหว่าง อู่ซ่อมรถทั่วไป กับ ศูนย์บริการของยี่ห้อรถนั้นๆ

โดยทั่วไปแล้ว ราคาค่าบริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องที่ ศูนย์บริการ มักจะเริ่มต้นที่ประมาณ 1,500 - 2,500 บาท (฿) ขึ้นไป ซึ่งราคานี้มักจะรวมทั้งค่าน้ำมันเครื่อง ค่าไส้กรองน้ำมันเครื่อง และค่าแรงแล้ว แต่บางทีอาจจะต้องมีค่าบริการอื่นๆ เพิ่มเติมด้วยนะ

ส่วนราคาที่ อู่ซ่อมรถทั่วไป จะมีความหลากหลายกว่ามาก บางที่อาจเริ่มต้นแค่หลัก 500 บาท (฿) ก็มีนะ! ราคานี้มักจะคิดตามค่าน้ำมันเครื่อง ค่ากรองน้ำมัน และค่าแรงเป็นหลัก ทำให้ดูเหมือนจะถูกกว่าศูนย์บริการเยอะเลย

แต่!!! อย่าเพิ่งรีบดีใจไปนะ ต้องดูรายละเอียดดีๆ ด้วย เพราะราคาที่เห็นอาจจะเป็นแค่น้ำมันเครื่องเกรดธรรมดา ถ้าอยากได้เกรดดีขึ้น ราคาที่อู่ก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย แถมคุณภาพน้ำมันเครื่องและไส้กรองก็อาจจะมีหลายเกรดให้เลือก ซึ่งเราต้องเป็นคนเลือกเองนะจ๊ะ

3. เทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ อู่กับศูนย์ ใครคุ้มกว่า?

ถ้าให้เทียบกันเฉพาะเรื่อง ราคาเพียวๆ ส่วนใหญ่แล้ว อู่ซ่อมรถทั่วไปมักจะมีราคาถูกกว่าศูนย์บริการอย่างชัดเจน เพราะค่าแรงที่อู่มักจะถูกกว่า และเรามีตัวเลือกน้ำมันเครื่องกับไส้กรองที่หลากหลายกว่า สามารถเลือกแบบที่ราคาเป็นมิตรกับงบเราได้มากกว่า

แต่ถ้ามองในมุมของ ความคุ้มค่าโดยรวม มันก็มีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนะ

ที่ศูนย์บริการ:

• ข้อดี: มั่นใจใน มาตรฐาน ได้เลย! เค้าจะมีคู่มือ มีอุปกรณ์เฉพาะทางสำหรับรถรุ่นของเรา ช่างก็มีความรู้ความเข้าใจรถยี่ห้อนั้นๆ เป็นอย่างดี ที่สำคัญคือมั่นใจได้ว่าใช้น้ำมันเครื่องและอะไหล่ ของแท้ แน่นอน แถมบางทียังมี การรับประกันงานซ่อม ให้ด้วยนะ เวลาเข้าศูนย์ เค้าก็จะมีการ ตรวจเช็กสภาพรถส่วนอื่นๆ ให้เราแบบครบถ้วน ไปในตัวด้วย เช่น เบรก กรองอากาศ น้ำมันเกียร์ ซึ่งอู่บางที่อาจจะไม่ได้เช็กให้ละเอียดเท่า
• ข้อเสีย: อย่างที่บอกไปว่า ราคาค่อนข้างสูง และส่วนใหญ่มักจะต้อง โทรนัดคิวก่อน ไม่ใช่ว่าจะ Walk-in เข้าไปแล้วได้ทำเลย บางทีอาจเจอช่างที่เน้นเปลี่ยนอะไหล่มากกว่าซ่อม (อันนี้แล้วแต่ที่นะ) และอาจมีการเสนอขายบริการเสริมอื่นๆ ที่เราอาจไม่จำเป็นต้องทำก็ได้

ที่อู่ซ่อมรถทั่วไป:

• ข้อดี: ราคาถูกกว่า อย่างเห็นได้ชัด มี ความยืดหยุ่น เรื่องยี่ห้อและชนิดของน้ำมันเครื่องให้เลือกเยอะ ถ้าเจออู่ที่ไว้ใจได้ ช่างมีประสบการณ์ เค้าอาจจะซ่อมแซมเก่งกว่าศูนย์ฯ ในบางกรณีก็ได้ แถมบางทีไม่ต้องรอนานเท่าศูนย์ฯ ด้วยนะ
• ข้อเสีย: คุณภาพและมาตรฐานอาจจะ ไม่เท่าศูนย์บริการ ต้อง เลือกอู่ดีๆ เพราะมีโอกาสเจออะไหล่หรือน้ำมันเครื่องปลอมได้ ถ้าเจออู่ไม่ดีอาจโดนโก่งราคา หรือปัญหาอื่นๆ ตามมา ช่างบางอู่อาจจะยังไม่เชี่ยวชาญรถรุ่นใหม่ๆ ที่มีเทคโนโลยีซับซ้อน และการรับประกันงานซ่อมอาจจะไม่ได้มีมาตรฐานเท่าศูนย์ฯ หรือบางที่อาจไม่มีเลย

สรุปคือ ถ้าเน้น ความสบายใจ มาตรฐาน และการรับประกัน โดยไม่ติดเรื่องงบประมาณมากนัก ศูนย์บริการ คือตัวเลือกที่น่าสนใจกว่า แต่ถ้าเน้น ความประหยัด และมี อู่ที่ไว้ใจได้ อยู่แล้ว อู่ทั่วไป ก็คุ้มค่ากว่าแน่นอน

4. จ่ายเงินไปแล้ว ได้อะไรกลับมาบ้างนะ?

เวลาที่เราจ่ายเงินค่าเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเนี่ย สิ่งที่เราจะได้กลับมาหลักๆ เลยก็คือ:

• น้ำมันเครื่องใหม่: อันนี้แน่นอนอยู่แล้ว ได้น้ำมันเครื่องตามที่เราเลือกหรือตามที่ศูนย์ฯ/อู่จัดให้
• ไส้กรองน้ำมันเครื่องใหม่: ส่วนใหญ่ค่าบริการจะรวมไส้กรองตัวใหม่ให้แล้วนะ (แต่ที่อู่ต้องเช็กดีๆ ว่ารวมมั้ย และเป็นของยี่ห้ออะไร)
• ค่าแรงช่าง: ค่าเหนื่อยช่างผู้ชำนาญนั่นเอง
• บริการตรวจเช็กเบื้องต้น: อันนี้แหละคือความแตกต่าง ถ้าเป็นศูนย์ฯ เค้าจะมีการ ตรวจเช็กรายการอื่นๆ ให้เราด้วย อย่างที่บอกไป เช่น ระบบเบรก ยาง หม้อน้ำ กรองอากาศ ซึ่งเป็นการเช็กสุขภาพรถเราไปในตัว ส่วนอู่ทั่วไปอาจจะเช็กให้แค่ตามที่เราแจ้ง หรือมีการเช็กเบื้องต้นเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
• การรับประกัน: ส่วนใหญ่ศูนย์บริการจะมี การรับประกันงานซ่อมหรืออะไหล่ ให้ระยะเวลาหนึ่ง (ต้องสอบถามเงื่อนไขแต่ละศูนย์ฯ นะ) ส่วนอู่ทั่วไป การรับประกันอาจจะแตกต่างกันไป บางที่อาจจะมีให้เล็กน้อย บางที่อาจไม่มีเลย ต้องตกลงกับอู่ให้ชัดเจนก่อนทำนะจ๊ะ คนไทยเราค่อนข้างให้ความสำคัญกับการรับประกัน เพราะถ้ามีปัญหาจะได้กลับไปแก้ไขได้โดยไม่เสียเงินเพิ่ม
• ของแถม/โปรโมชั่น: บางทีศูนย์ฯ หรืออู่/ร้านค้าบริการยางรถยนต์ (อย่าง B-Quik, FIT Auto) อาจมีโปรโมชั่นพิเศษ เช่น ฟรีค่าแรง (มูลค่า 200 บาท อะไรแบบนี้) แถมไส้กรองให้ฟรี หรือมีของแถมอื่นๆ เช่น ตรวจเช็กฟรีรายการอื่น ล้างรถ ดูดฝุ่นให้ฟรี หรือมีส่วนลดสำหรับบริการอื่นๆ ด้วยนะ

ส่วนเรื่อง ค่าขนส่ง อันนี้ไม่เหมือนซื้อของออนไลน์นะจ๊ะ เราขับรถไปรับบริการเอง ก็ไม่มีค่าขนส่งจ้า!

5. ช่วงไหนน่าไปเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องที่สุด? มีโปรโมชั่นเด็ดๆ ไหม?

ถ้าอยากได้ความคุ้มค่าสูงสุด การรอช่วง โปรโมชั่น นี่แหละคือโอกาสทอง! ศูนย์บริการบางแห่ง หรือพวกศูนย์บริการยางรถยนต์และซ่อมบำรุงด่วน (อย่าง FIT Auto, B-Quik, Cockpit) มักจะมีโปรโมชั่นลดราคาค่าเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง หรือมีรายการแถมพิเศษในช่วงเวลาต่างๆ นะ

ช่วงที่มักจะมีโปรโมชั่นเยอะๆ ก็คือ ช่วงใกล้เทศกาลหยุดยาว เช่น ก่อนสงกรานต์ (ปีใหม่ไทย) หรือช่วงปีใหม่ เพราะคนนิยมนำรถไปเช็กระยะ เตรียมพร้อมเดินทาง ทำให้ร้านค้าและศูนย์บริการต่างๆ จัดโปรโมชั่นดึงดูดลูกค้ากันเพียบ!

นอกจากนี้ บางทีก็มีโปรโมชั่นตามช่วงเวลาอื่นๆ ด้วยนะ เช่น ช่วงปลายปี (อย่างโปร 12.12 ที่ FIT Auto เคยจัด) หรือโปรโมชั่นประจำเดือนต่างๆ ลองเช็กจากเว็บไซต์หรือเพจ Facebook ของศูนย์บริการหรือร้านที่เราสนใจดูก่อนเข้าไปใช้บริการนะ

คำแนะนำคือ: ถ้าไม่ได้ขับรถเยอะมากๆ จนถึงระยะที่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องพอดีเป๊ะๆ การ รอช่วงโปรโมชั่น แล้วค่อยเข้าไปเปลี่ยนก็จะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้ไม่น้อยเลยล่ะครับ! แต่ถ้าถึงระยะแล้วก็อย่าฝืนนะ เปลี่ยนก่อนปลอดภัยกว่า!

6. ผู้ใช้ชาวไทยเค้าว่ายังไงกันบ้างนะ?

จากที่ลองสำรวจความคิดเห็นของคนไทยที่เคยเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามอู่และศูนย์บริการต่างๆ พบว่า:

• คนส่วนใหญ่ยอมรับว่าเข้าศูนย์บริการแพงกว่าอู่นอก
• คนที่เลือกเข้า ศูนย์บริการ มักจะให้เหตุผลเรื่อง ความมั่นใจในมาตรฐาน คุณภาพน้ำมันเครื่องและอะไหล่ว่าเป็นของแท้ และช่างมีความชำนาญกับรถยี่ห้อนั้นๆ โดยเฉพาะรถใหม่ที่ยังอยู่ในระยะประกันมักจะเลือกเข้าศูนย์ฯ เพื่อรักษาสิทธิ์การรับประกัน การที่มีการตรวจเช็กรายการอื่นๆ ให้ด้วยก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้หลายคนเลือกเข้าศูนย์ฯ
• คนที่เลือกเข้า อู่นอก มักจะเน้นเรื่อง ราคาที่ถูกกว่า และถ้าเจออู่ที่ไว้ใจได้ ทำงานดี ก็ถือว่าคุ้มค่ามากๆ บางคนที่มีรถเก่าพ้นระยะประกันแล้ว หรือมีความรู้เรื่องรถอยู่บ้าง ก็มักจะเลือกอู่นอก หรือบางทีถึงขั้นซื้อน้ำมันเครื่องกับไส้กรองไปเอง แล้วจ่ายเฉพาะค่าแรงให้อู่ก็มีนะ
• แต่ก็มีความกังวลเรื่อง คุณภาพน้ำมันเครื่องและอะไหล่ ที่อู่นอก บางทีอาจเจอของปลอมได้ถ้าเลือกอู่ไม่ดี และความชำนาญของช่างก็แตกต่างกันไปในแต่ละอู่

สรุปคือ คนไทยส่วนใหญ่จะเลือกอู่หรือศูนย์ฯ โดยพิจารณาจาก งบประมาณ ความสบายใจเรื่องคุณภาพ และความน่าเชื่อถือ นั่นเองครับ

7. แล้วจะไปเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องได้ที่ไหนบ้าง?

ช่องทางหลักๆ ในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องในไทยก็มี:

• ศูนย์บริการของยี่ห้อรถยนต์ต่างๆ: เช่น ศูนย์ Toyota, Honda, Mazda ฯลฯ อันนี้เป็นช่องทาง Official ที่ได้มาตรฐานสูงสุด มั่นใจเรื่องอะไหล่แท้และช่างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เหมาะกับรถใหม่ที่ยังอยู่ในระยะประกัน หรือคนที่ต้องการความสบายใจเต็มที่
• อู่ซ่อมรถยนต์ทั่วไป: มีอยู่เยอะแยะมากมายตามท้องถนน ราคาเป็นมิตรต่อกระเป๋าสตางค์ แต่ต้องเลือกอู่ที่มีความน่าเชื่อถือ มีคนรีวิวดีๆ หรือเป็นอู่ที่เราเคยใช้บริการแล้วประทับใจนะ
• ศูนย์บริการยางรถยนต์และซ่อมบำรุงด่วน: เช่น B-Quik, FIT Auto, Cockpit พวกนี้จะมีบริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องด้วย มีน้ำมันเครื่องให้เลือกหลายยี่ห้อ มักจะมีโปรโมชั่นบ่อยๆ ราคาอยู่ระหว่างศูนย์บริการกับอู่นอกทั่วไป และมักจะมีมาตรฐานที่ดีพอสมควร
• ปั๊มน้ำมันบางแห่ง: ปั๊มน้ำมันบางแบรนด์ก็มีบริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องด้วยนะ สะดวกสำหรับคนที่ต้องการความรวดเร็ว

เลือกช่องทางที่สะดวกและตรงกับความต้องการของเราได้เลยครับ

8. สรุปเลยนะ! เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ราคาเท่าไหร่ดี? ไปไหนคุ้มสุด?

มาถึงบทสรุปแล้ว! ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเนี่ย เริ่มต้นตั้งแต่หลักร้อยปลายๆ ถึงหลักพันปลายๆ หรืออาจจะมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ทั้งน้ำมันเครื่อง รุ่นรถ และสถานที่ที่เราไปเปลี่ยน

ถามว่าไปไหนคุ้มกว่ากัน? อันนี้ต้องบอกว่า แล้วแต่คน แล้วแต่สถานการณ์ จ้า

• ถ้าคุณขับ รถใหม่ป้ายแดงที่ยังอยู่ในระยะประกัน แนะนำให้เข้า ศูนย์บริการ ไปเถอะ เพื่อรักษาสิทธิ์การรับประกัน และมั่นใจได้ในมาตรฐานและอะไหล่แท้ แม้ราคาจะสูงหน่อยก็ตาม
• ถ้าคุณขับ รถที่พ้นระยะประกันแล้ว หรือ มีงบจำกัด และ มีอู่ซ่อมรถที่ไว้ใจได้ อยู่แล้ว การไปเปลี่ยนถ่ายที่ อู่นอก ก็เป็นทางเลือกที่คุ้มค่ามากๆ เพราะราคาถูกกว่าอย่างเห็นได้ชัด
• ถ้าอยากได้ ความสะดวก มาตรฐานกลางๆ และมีโปรโมชั่นให้เลือกเยอะ ลองดูพวก ศูนย์บริการยางรถยนต์และซ่อมบำรุงด่วน ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจนะ

สิ่งสำคัญที่สุดคือ ไม่ว่าจะเลือกไปที่ไหน ก็ควร เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะเวลาหรือระยะทางที่คู่มือรถกำหนดเสมอ อย่าปล่อยให้เลยกำหนด เพราะถ้าเครื่องยนต์มีปัญหาขึ้นมา ค่าซ่อมมันไม่คุ้มแน่นอน!

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจเรื่องการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องให้รถคู่ใจของทุกคนนะครับ ขอให้รถของทุกคนวิ่งฉิว ไม่มีสะดุด ปลอดภัยทุกเส้นทางจ้า! บ๊ายบายยย!

วิดีโอที่เกี่ยวข้อง

• เข้า ศูนย์บริการ หรือ อู่ ดี? คำถามนี้มีคำตอบ!(ไม่อวยศูนย์บริการ)
• เปลี่ยนน้ำมันเครื่องที่ศูนย์บริการ ต่างจากที่อื่นยังไง?
• เสียค่าโง่มาตั้งนาน ถ่ายน้ำมันเครื่องราคาแพง 4 ถ่ายน้ำมันเครื่อง💥เพียง ...
• รถเก่าอายุเกิน 5 ปี เข้าศูนย์หรืออู่ดีกว่ากัน? สาระดีๆ น้ำมันเครื่องอิเดมิสึ ...
• เกือบเสียค่าโง่ นำรถเข้าเช็คระยะที่ศูนย์ ไม่ดูให้ดี เกือบเสียเงินครึ่งหมื่น ...