รีวิวเปรียบเทียบ iPhone 7 vs iPhone 8 ในปี 2025 ยังน่าใช้อยู่มั้ย รุ่นไหนคุ้มกว่า


คุณกำลังมองหา iPhone ราคาประหยัดในปี 2025 อยู่ใช่ไหม? iPhone 7 และ iPhone 8 ยังคงเป็นตัวเลือกที่หลายคนพิจารณาในตลาดมือสอง แต่คำถามคือ ในยุคที่สมาร์ทโฟนพัฒนาไปไกลขนาดนี้ มือถืออายุเกือบสิบปีอย่างสองรุ่นนี้ยังน่าใช้คุ้มค่าอยู่หรือไม่? และรุ่นไหนคือตัวเลือกที่ดีกว่ากันแน่? บทความนี้จะเจาะลึกทุกแง่มุมของการใช้งาน iPhone 7 และ iPhone 8 ในปัจจุบัน เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด.
1. ภาพรวมผลิตภัณฑ์: ทำความรู้จัก iPhone 7 และ iPhone 8
iPhone 7 และ iPhone 8 เป็นสมาร์ทโฟนจาก Apple ที่เปิดตัวห่างกันเพียงหนึ่งปี ทั้งคู่ยังคงดีไซน์คลาสสิกพร้อมปุ่ม Home ที่หลายคนคุ้นเคย แต่มีความแตกต่างที่สำคัญภายใต้รูปลักษณ์ภายนอก
แบรนด์: Apple
รุ่น: iPhone 7 และ iPhone 8
iPhone 7
- ปีที่วางจำหน่าย: กันยายน 2016
- ช่วงราคา (มือสอง/รีเฟอร์บิช ในปี 2025): ต่ำกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3,xxx บาท) หรือหาได้ยากขึ้น
- การวางตำแหน่งสินค้า: รุ่นเริ่มต้นในอดีต เหมาะสำหรับผู้ใช้งบประมาณจำกัด หรือใช้เป็นเครื่องสำรอง
- จุดเด่นหลัก (ในยุคของมัน):
- กันน้ำกันฝุ่น IP67 เป็นครั้งแรก
- กล้องหลัง 12MP พร้อมระบบกันสั่น OIS
- ชิป A10 Fusion ที่เร็วในยุคนั้น
- ลำโพงสเตอริโอ
iPhone 8
- ปีที่วางจำหน่าย: กันยายน 2017
- ช่วงราคา (มือสอง/รีเฟอร์บิช ในปี 2025): ประมาณ 110-130 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4,xxx บาท)
- การวางตำแหน่งสินค้า: รุ่นกลาง-สูงในอดีต เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า iPhone 7 เล็กน้อยสำหรับผู้ใช้งบจำกัด
- จุดเด่นหลัก (ในยุคของมัน):
- ฝาหลังกระจก รองรับชาร์จไร้สาย
- ชิป A11 Bionic ที่ทรงพลังกว่า
- รองรับ True Tone Display
- รองรับการชาร์จเร็ว (Fast Charge)
- Bluetooth 5.0 (ดีกว่า iPhone 7 ที่เป็น Bluetooth 4.2)
2. ดีไซน์ & รูปลักษณ์ภายนอก
ทั้ง iPhone 7 และ iPhone 8 ยังคงเอกลักษณ์การออกแบบของ Apple ด้วยขนาดที่กะทัดรัด พร้อมหน้าจอ 4.7 นิ้ว และปุ่ม Home ที่มี Touch ID ในตัว ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของหลายคน
- การออกแบบและวัสดุ:
- iPhone 7: ตัวเครื่องเป็นอะลูมิเนียมทั้งหมด ให้ความรู้สึกทนทานและมีน้ำหนักเบา
- iPhone 8: เปลี่ยนมาใช้ฝาหลังกระจก (ด้านหน้าและหลัง) และขอบอะลูมิเนียม ซึ่งทำให้ดูทันสมัยและพรีเมียมมากขึ้นเล็กน้อย และเป็นไปเพื่อรองรับการชาร์จไร้สาย
- ขนาดและน้ำหนัก: ทั้งสองรุ่นมีขนาดใกล้เคียงกันมาก โดย iPhone 8 จะหนักกว่า iPhone 7 เล็กน้อย เนื่องจากวัสดุที่เป็นกระจก
- iPhone 7: 138.3 x 67.1 x 7.1 มม., 138 กรัม
- iPhone 8: 138.4 x 67.3 x 7.3 มม., 148 กรัม
- สีที่มีให้เลือก:
- iPhone 7: มีสีให้เลือกหลากหลาย รวมถึง Jet Black, Black, Silver, Gold, Rose Gold, และ Product(RED)
- iPhone 8: มีสีพื้นฐานเช่น Space Gray, Silver, และ Gold
- ความสะดวกในการพกพา: ด้วยขนาดหน้าจอ 4.7 นิ้ว ทำให้ทั้งคู่พกพาสะดวก ใช้งานมือเดียวได้สบายในยุคที่มือถือจอใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
- อุปกรณ์เสริมในกล่อง: ในช่วงเปิดตัว ทั้งสองรุ่นมาพร้อมอะแดปเตอร์แปลง Lightning เป็นช่องหูฟัง 3.5 มม. (เนื่องจากไม่มีช่องหูฟัง 3.5 มม. แล้ว) แต่ในการซื้อมือสอง/รีเฟอร์บิชในปี 2025 มักจะได้รับแต่ตัวเครื่องและสายชาร์จเท่านั้น
3. ประสบการณ์ในการใช้งานฟังก์ชันหลัก (ในปี 2025)
นี่คือจุดที่ความแตกต่างระหว่างสองรุ่นนี้เริ่มชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเวลาผ่านไปเกือบสิบปี
- หน้าจอ:
- ทั้งคู่ใช้หน้าจอ Retina HD IPS LCD ความละเอียด 1334x750 พิกเซลที่ 326 ppi
- iPhone 8: มีเทคโนโลยี True Tone Display ที่ปรับสมดุลแสงสีขาวของหน้าจอให้เข้ากับสภาพแวดล้อมโดยรอบ ช่วยลดอาการปวดตาและทำให้สีสันดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น iPhone 7 ไม่มีฟีเจอร์นี้
- โดยรวมแล้ว คุณภาพของหน้าจอเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป แต่ไม่สู้จอ OLED ในรุ่นใหม่กว่าในแง่ของความคมชัดและคอนทราสต์
- ความแรง (ชิปเซ็ต):
- iPhone 7: ใช้ชิป Apple A10 Fusion (Quad-core) พร้อม RAM 2GB ในปี 2025 ชิป A10 Fusion เริ่มจะช้าลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกับแอปพลิเคชันที่ต้องใช้ทรัพยากรมาก การเปิดแอปอาจใช้เวลานานขึ้น และการทำงานแบบ Multitasking อาจมีอาการหน่วง เหมาะสำหรับงานพื้นฐานเท่านั้น
- iPhone 8: ใช้ชิป Apple A11 Bionic (Hexa-core) พร้อม RAM 2GB (รุ่น Plus มี 3GB) ชิป A11 Bionic ยังคงทำงานได้ดีกว่า A10 Fusion อย่างเห็นได้ชัดในปี 2025 สามารถจัดการงานพื้นฐาน การท่องเว็บ โซเชียลมีเดีย และแม้แต่การเล่นเกมเบาๆ ได้ค่อนข้างดี ถึงแม้จะไม่ได้เร็วเท่าชิปรุ่นใหม่ๆ
- กล้อง:
- ทั้งสองรุ่นมีกล้องหลัง 12MP (f/1.8) พร้อมระบบกันสั่น OIS และกล้องหน้า 7MP (f/2.2)
- คุณภาพรูปถ่าย:
- กลางวัน: ทั้งคู่ยังคงให้ภาพถ่ายในเวลากลางวันที่มีคุณภาพดี สีสันคมชัด ใช้ลงโซเชียลมีเดียได้
- กลางคืน/แสงน้อย: เป็นจุดอ่อนสำคัญของทั้งสองรุ่น เนื่องจากขาดฟีเจอร์ Night Mode ที่มีใน iPhone รุ่นใหม่กว่า ทำให้ภาพมี Noise และรายละเอียดไม่คมชัด
- iPhone 8: ได้เปรียบเล็กน้อยด้วยการประมวลผลภาพที่ดีขึ้นจากชิป A11 Bionic ทำให้ภาพดูมีชีวิตชีวาและคมชัดกว่า iPhone 7 เล็กน้อย แม้สเปกกล้องจะใกล้เคียงกัน
- การบันทึกวิดีโอ:
- ทั้งคู่สามารถบันทึกวิดีโอ 4K ที่ 30fps ได้
- iPhone 8: รองรับการบันทึกวิดีโอ 4K ที่ 60fps ซึ่งเหนือกว่า iPhone 7 และวิดีโอสโลว์โมชัน 1080p ที่ 240fps คุณภาพวิดีโอยังคงดีสำหรับใช้งานทั่วไป
4. ประสบการณ์การใช้งาน & ความง่ายในการใช้
แม้จะเป็นรุ่นเก่า แต่ความคุ้นเคยของ iOS และปุ่ม Home ยังคงเป็นจุดแข็ง
- ใช้ง่ายไหม? ต้องเรียนรู้อะไรเยอะไหม?: ทั้งสองรุ่นยังคงมีปุ่ม Home พร้อม Touch ID ซึ่งเป็นรูปแบบที่ใช้งานง่ายและคุ้นเคยสำหรับหลายคน ระบบปฏิบัติการ iOS เป็นมิตรกับผู้ใช้ ไม่ซับซ้อน
- ระบบซอฟต์แวร์: นี่คือจุดสำคัญที่ต้องพิจารณาในปี 2025
- iPhone 7: ไม่ได้รับการอัปเดต iOS เวอร์ชันหลักแล้ว โดยหยุดอยู่ที่ iOS 15 (บางแหล่งระบุ iOS 15.8.4 ณ เดือนมีนาคม 2025) การขาดการอัปเดตหมายถึง:
- ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย: ไม่มีแพตช์ความปลอดภัยใหม่ๆ ทำให้เสี่ยงต่อมัลแวร์และช่องโหว่
- ปัญหาความเข้ากันได้ของแอป: แอปพลิเคชันใหม่ๆ อาจไม่รองรับ หรือทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และในอนาคตอาจหยุดทำงานโดยสิ้นเชิง
- ขาดฟีเจอร์ใหม่: ไม่สามารถเข้าถึงฟีเจอร์ iOS ใหม่ๆ เช่น Live Voicemail หรือ Apple Intelligence
- iPhone 8: ได้รับการอัปเดตสูงสุดถึง iOS 16 (บางแหล่งระบุ iOS 16.7.11 ณ เดือนมีนาคม 2025) แม้ว่าจะไม่ได้รับการอัปเดตเป็น iOS 17 หรือ 18 แล้ว แต่ก็ยังได้รับการสนับสนุนด้านความปลอดภัยและข้อบกพร่องอยู่บ้างนานกว่า iPhone 7
- iPhone 7: ไม่ได้รับการอัปเดต iOS เวอร์ชันหลักแล้ว โดยหยุดอยู่ที่ iOS 15 (บางแหล่งระบุ iOS 15.8.4 ณ เดือนมีนาคม 2025) การขาดการอัปเดตหมายถึง:
- เสียงดังไหม ร้อนเร็วมั้ย สบายเวลาถือ/สวมใส่หรือไม่:
- ทั้งคู่มีลำโพงสเตอริโอที่ให้เสียงดังพอสมควร
- การใช้งานหนักอาจทำให้เครื่องอุ่นขึ้นได้ โดยเฉพาะ iPhone 7 ที่มีอายุมากกว่า
- ขนาดกะทัดรัดทำให้จับถือได้สบาย
- รองรับภาษาไทยมั้ย ใช้กับแอปในไทยได้หรือเปล่า:
- แน่นอนว่าทั้งคู่รองรับภาษาไทยได้สมบูรณ์แบบ เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ของ Apple
- แอปพลิเคชันส่วนใหญ่ในไทยยังคงใช้งานได้ แต่สำหรับ iPhone 7 อาจพบข้อจำกัดกับแอปใหม่ๆ หรือแอปที่ต้องการ iOS เวอร์ชันล่าสุด
5. แบตเตอรี่ / พลังงาน / ความคุ้มค่าในระยะยาว
แบตเตอรี่คือจุดอ่อนสำคัญของทั้งสองรุ่นในปี 2025 และมีผลต่อความคุ้มค่าอย่างมาก
- ระยะเวลาการใช้งานต่อการชาร์จ 1 ครั้ง:
- iPhone 7: แบตเตอรี่ 1960 mAh ในปี 2025 แบตเตอรี่ของ iPhone 7 ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพที่เสื่อมสภาพอย่างมาก อาจใช้งานได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงภายใต้การใช้งานทั่วไป และจำเป็นต้องชาร์จหลายครั้งต่อวัน
- iPhone 8: แบตเตอรี่ 1821 mAh แม้ความจุจะน้อยกว่า iPhone 7 แต่ด้วยชิป A11 Bionic ที่มีประสิทธิภาพการจัดการพลังงานดีกว่า อย่างไรก็ตาม แบตเตอรี่ของ iPhone 8 ส่วนใหญ่ในปี 2025 ก็เสื่อมสภาพอย่างมากเช่นกัน ใช้งานหนักอาจอยู่ได้แค่ครึ่งวัน
- ความเร็วในการชาร์จ / เติมพลังงาน:
- iPhone 7: ชาร์จปกติผ่านพอร์ต Lightning
- iPhone 8: เป็น iPhone รุ่นแรกที่รองรับการชาร์จไร้สาย (สูงสุด 7.5W) และรองรับการชาร์จเร็ว (Fast Charge) สูงสุด 15W ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ถึง 50% ใน 30 นาที หากใช้อะแดปเตอร์ที่รองรับ
- ค่าใช้จ่ายระยะยาว:
- การเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับทั้งสองรุ่นหากต้องการใช้งานได้ตลอดวัน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
- อะไหล่อื่นๆ เช่นหน้าจอ อาจหายากขึ้นหรือมีราคาแพงขึ้นเมื่อเครื่องเก่าลง
- วิเคราะห์ความคุ้มค่า:
- ในแง่ของความคุ้มค่าในระยะยาว ทั้งสองรุ่นถือว่าไม่คุ้มค่าสำหรับการใช้งานเป็นเครื่องหลักในปี 2025 เนื่องจากข้อจำกัดด้านซอฟต์แวร์ แบตเตอรี่ และประสิทธิภาพ
- iPhone 8 มีข้อได้เปรียบด้านการรองรับ iOS ที่นานกว่าเล็กน้อย ชิปที่แรงกว่า และฟีเจอร์ชาร์จไร้สาย/ชาร์จเร็ว ทำให้คุ้มค่ากว่า iPhone 7 เล็กน้อยหากพิจารณาถึงอายุการใช้งานที่เหลือ
6. ข้อดี-ข้อเสีย (ในปี 2025)
iPhone 7
ข้อดี:
- ราคาถูกมาก: หากหาซื้อได้ มักจะมีราคาต่ำที่สุดในบรรดา iPhone ที่ยังใช้งานได้
- ขนาดกะทัดรัด: พกพาง่าย ใช้งานมือเดียวสะดวก
- มีปุ่ม Home / Touch ID: เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ
- ยังคงใช้งานแอปพื้นฐานได้: สำหรับการโทร, ส่งข้อความ, ท่องเว็บเบาๆ
ข้อเสีย:
- ไม่ได้รับการอัปเดต iOS แล้ว: หยุดอยู่ที่ iOS 15 ทำให้มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและแอปไม่รองรับในอนาคต
- ประสิทธิภาพช้า: ชิป A10 Fusion ทำงานได้ช้าลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับแอปและระบบปัจจุบัน
- แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ: อายุการใช้งานแบตเตอรี่สั้นมาก จำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่
- กล้องสู้แสงน้อยไม่ได้: คุณภาพกล้องในสภาพแสงน้อยไม่ดี
- ขาดฟีเจอร์สมัยใหม่: ไม่มีชาร์จไร้สาย, True Tone, หรือฟีเจอร์กล้องขั้นสูง
iPhone 8
ข้อดี:
- ยังพอได้รับการอัปเดตความปลอดภัย: แม้จะหยุดที่ iOS 16 แต่ยังได้แพตช์ความปลอดภัยนานกว่า iPhone 7
- ประสิทธิภาพดีกว่า iPhone 7: ชิป A11 Bionic ยังคงจัดการงานพื้นฐานและเล่นเกมเบาๆ ได้ดี
- รองรับชาร์จไร้สายและชาร์จเร็ว: เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน
- หน้าจอ True Tone: ช่วยให้การแสดงผลสบายตาและเป็นธรรมชาติ
- ฝาหลังกระจก: ดีไซน์ดูทันสมัยกว่า iPhone 7
ข้อเสีย:
- ไม่ได้รับการอัปเดต iOS เวอร์ชันหลักแล้ว: หยุดที่ iOS 16 (ไม่รองรับ iOS 17, 18) ทำให้แอปอาจมีปัญหารองรับในอนาคต
- แบตเตอรี่เสื่อม: เช่นเดียวกับ iPhone 7 แบตเตอรี่ส่วนใหญ่เสื่อมสภาพและใช้งานได้ไม่นาน
- กล้องสู้แสงน้อยไม่ได้: แม้จะดีกว่า iPhone 7 เล็กน้อย แต่ก็ยังไม่มี Night Mode
- RAM น้อย: RAM 2GB อาจไม่เพียงพอสำหรับแอปพลิเคชันที่ต้องการทรัพยากรมากในปัจจุบัน
7. เหมาะกับใคร & คำแนะนำในการซื้อ
iPhone 7
เหมาะกับ:
- ผู้ที่งบประมาณจำกัดที่สุด: ต้องการ iPhone ในราคาที่ถูกที่สุดเท่าที่จะหาได้
- ใช้เป็นเครื่องสำรอง: สำหรับการโทร, รับสาย, ส่งข้อความพื้นฐาน
- ผู้สูงอายุหรือเด็ก: ที่ต้องการใช้งานแค่ฟังก์ชันพื้นฐาน ไม่เน้นแอปใหม่ๆ หรือความปลอดภัยสูง
คำแนะนำในการซื้อ: ไม่แนะนำให้ซื้อเป็นเครื่องหลักในปี 2025 เนื่องจากข้อจำกัดด้านซอฟต์แวร์และประสิทธิภาพที่สูงมาก แม้ราคาจะถูก แต่ความเสี่ยงและปัญหาที่จะตามมาอาจไม่คุ้มค่า
iPhone 8
เหมาะกับ:
- ผู้ที่งบจำกัดเล็กน้อย แต่ต้องการประสิทธิภาพที่ดีขึ้น: และยอมรับข้อจำกัดด้านการอัปเดต iOS ได้
- ผู้ที่ชอบปุ่ม Home และ Touch ID: ยังคงเป็นจุดเด่นสำหรับบางคน
- ใช้สำหรับงานพื้นฐาน: โซเชียลมีเดียเบาๆ, ท่องเว็บ, สตรีมมิ่งวิดีโอ
- ผู้ที่ต้องการ iPhone ที่รองรับชาร์จไร้สายในราคาประหยัด:
คำแนะนำในการซื้อ: ไม่แนะนำให้ซื้อเป็นเครื่องหลักเช่นกัน หากสามารถเพิ่มงบประมาณได้อีกเล็กน้อย ควรเลือก iPhone SE (Gen 2/3) หรือ iPhone XR/11 ที่ยังได้รับการอัปเดต iOS และมีประสิทธิภาพที่ดีกว่ามาก
8. เปรียบเทียบกับสินค้าคล้ายๆ กัน (รุ่นเก่ากว่า/รุ่นใกล้เคียง)
หากคุณยังยืนยันที่จะใช้ iPhone รุ่นเก่า แต่ไม่ต้องการ "เก่าเกินไป" ควรพิจารณารุ่นเหล่านี้:
- iPhone SE (Gen 2/3): เป็นตัวเลือกที่ดีกว่ามาก มีดีไซน์คล้าย iPhone 8 แต่ใช้ชิปรุ่นใหม่กว่ามาก (A13 Bionic สำหรับ SE Gen 2, A15 Bionic สำหรับ SE Gen 3) ซึ่งยังคงได้รับการอัปเดต iOS และมีประสิทธิภาพที่ลื่นไหลกว่ามากในปี 2025 ราคาจะสูงกว่า iPhone 8 เล็กน้อย (SE Gen 2 เริ่มต้นประมาณ 140 ดอลลาร์สหรัฐ)
- iPhone XR / iPhone 11: หากต้องการจอใหญ่ขึ้นและกล้องที่ดีขึ้นมาก ควรพิจารณาสองรุ่นนี้ ซึ่งยังคงได้รับการอัปเดต iOS 18 ในปี 2025 แม้ราคาจะสูงขึ้นไปอีก แต่คุ้มค่ากว่าในระยะยาว
9. บริการหลังการขายและช่องทางการซื้อ
- การรับประกัน: สำหรับ iPhone 7 และ iPhone 8 ที่ซื้อในปี 2025 ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องมือสอง หรือเครื่องรีเฟอร์บิช (Certified Used/Refurbished) ซึ่งมักมาพร้อมการรับประกันจากผู้ขาย หรือร้านค้าที่รับรองคุณภาพเท่านั้น ไม่ใช่การรับประกันจาก Apple โดยตรงแล้ว
- เครือข่ายการให้บริการ: Apple อาจยังให้บริการซ่อมแซมสำหรับรุ่นเหล่านี้ได้จนถึงประมาณเมษายน 2025 สำหรับ iPhone 8 Plus (เป็นไปตามนโยบาย 5 ปีหลังเลิกขาย) หลังจากนั้นขึ้นอยู่กับอะไหล่ที่เหลืออยู่ สำหรับ iPhone 7 อาจถูกจัดเป็น "Obsolete" (ล้าสมัย) ซึ่งอาจไม่มีอะไหล่หรือบริการซ่อมจาก Apple โดยตรงแล้ว
- ช่องทางการซื้อ: สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้ามือสองออนไลน์อย่าง Lazada, Shopee หรือแพลตฟอร์มรีเฟอร์บิชเฉพาะทาง ควรเลือกร้านที่มีความน่าเชื่อถือ มีรีวิวดี และมีการรับประกันจากผู้ขาย
- โปรโมชั่นและส่วนลด: มักมีโปรโมชั่นหรือโค้ดส่วนลดสำหรับสินค้ามือสอง/รีเฟอร์บิชอยู่บ้าง ควรเปรียบเทียบราคาและความน่าเชื่อถือของผู้ขายให้ดี
10. บทสรุปและคำแนะนำในการซื้อ
โดยสรุปแล้ว ในปี 2025:
- iPhone 7: ไม่แนะนำให้ซื้อเป็นเครื่องหลักโดยเด็ดขาด เนื่องจากไม่ได้รับการอัปเดต iOS แล้ว มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยสูง และประสิทธิภาพที่ช้าจนน่าหงุดหงิด หากต้องการเพียงเครื่องสำรองราคาถูกมากๆ และเข้าใจถึงข้อจำกัดทั้งหมด ก็อาจพอใช้ได้ แต่ควรพิจารณาให้ถี่ถ้วน
- iPhone 8: ไม่แนะนำให้ซื้อเป็นเครื่องหลักเช่นกัน แม้จะดีกว่า iPhone 7 ในหลายๆ ด้าน ทั้งชิปที่แรงกว่า True Tone และชาร์จไร้สาย แต่การหยุดอัปเดต iOS 16 ทำให้ความเข้ากันได้ของแอปและความปลอดภัยเป็นปัญหาในระยะยาว
คำแนะนำเฉพาะสำหรับกลุ่มผู้ใช้งาน:
- ผู้ที่มีงบประมาณจำกัดจริงๆ และต้องการ iPhone เท่านั้น: ควรพยายามเพิ่มงบประมาณเพื่อซื้อ iPhone SE (Gen 2) แทน ซึ่งมีราคาไม่แพงมาก แต่ได้ประสิทธิภาพและระยะเวลาการสนับสนุน iOS ที่ดีกว่ามาก คุ้มค่าในระยะยาวกว่าหลายเท่า
- ผู้ที่ต้องการใช้งานทั่วไป (โซเชียล, เว็บไซต์, สตรีมมิ่ง): ควรเลือก iPhone รุ่นใหม่กว่าอย่างน้อย iPhone XR หรือ iPhone 11 ขึ้นไป เพื่อประสบการณ์ใช้งานที่ลื่นไหลและปลอดภัยในระยะยาว
- ผู้ที่ต้องการเครื่องสำรองหรือเครื่องสำหรับเด็ก/ผู้สูงอายุที่ไม่เน้นใช้งานหนัก: อาจพอพิจารณา iPhone 8 ได้ หากหาในราคาที่ถูกมากๆ และรับได้กับการไม่มีการอัปเดต iOS หลักในอนาคต แต่ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่
วิดีโอที่เกี่ยวข้อง
- 5 อันดับ iPhone มือสองน่าซื้อปี 2025 - รุ่นไหนดี รุ่นไหนโดน!
- รีวิวโดยผู้ใช้งาน iPhone 7 Plus คุ้มไหมกับมือถือมือสองงบ2000ในปี ...
- รีวิว iPhone 8 Plus เข้าปี 2025 ยังไหวไหม น่าใช้หรือเปล่า
- iPhone 7 ตัวธรรมดา ลองซื้อมาใช้ในปี 2024 รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องลอง ...
- ไอโฟน 7 พลัส อายุ8ปี ในปี2025 ยังไหวไหม? เกม Call fo duty
แนะนำสำหรับคุณ
รีวิว Xiaomi Air Purifier 2S: เครื่องฟอกอากาศดีไซน์มินิมอล กรองอากาศสะอาด
Fresh Black Tea Mask รีวิว: มาส์กหน้าใส ฟูอิ่ม เห็นผลในครั้งแรก?
รีวิว Grande Pleno วัชรพล-สุขาภิบาล 5: โครงการบ้านน่าอยู่ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครันไหม
รีวิว Akyra Manor Chiang Mai: โรงแรมบูติคสุดฮิปในเชียงใหม่ บรรยากาศดี น่าพักไหม?
รีวิว Nike Quest 2: รองเท้าวิ่งราคาเข้าถึงง่าย ใส่สบาย เหมาะกับวิ่งเบาๆ หรือใส่เดินไหม?
รีวิว Nutri Master Astaxanthin Plus: อาหารเสริมต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิวและสายตา ได้ผลจริงไหม?