รีวิว Suspiria (2018): หนังระทึกขวัญ สยองขวัญ งานภาพสวยหลอน น่าดูไหม?


Here's the article reviewing Suspiria (2018) in the requested style and format.
สวัสดีค่าทุกคน! วันนี้ขอมาเมาท์มอยเรื่องหนังสยองขวัญ งานภาพสวยหลอน ที่เคยเป็นกระแสอยู่ช่วงนึง นั่นก็คือ Suspiria เวอร์ชันปี 2018 นั่นเอง! หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเวอร์ชันออริจินัลปี 1977 มาบ้าง (ที่ว่าด้วยแม่มดในโรงเรียนบัลเลต์ งานสีจัดจ้านสะใจ) พอมีเวอร์ชันรีเมกโดยผู้กำกับคนดังอย่าง Luca Guadagnino (คนเดียวกับที่ทำหนังรักละมุนอย่าง Call Me By Your Name!) ออกมา ก็ยิ่งน่าจับตาว่ามันจะออกมาเป็นอีท่าไหนกันนะ?
บอกเลยว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังสยองขวัญ Jump Scare ตูมตามให้ตกใจเล่นๆ แต่เป็นแนวหลอนจิต ตรึงอารมณ์ เน้นบรรยากาศ งานภาพ และความไม่สบายใจที่คืบคลานเข้ามา ใครที่อยากลองเปิดประสบการณ์หนังสยองแบบใหม่ๆ ที่ฉีกจากขนบเดิมๆ บทความนี้มีคำตอบให้ว่ามันน่าดูไหม เหมาะกับเราหรือเปล่า ไปดูกัน!
1. ภาพรวมของ Suspiria (2018): แม่มด โลกีย์ และการเต้นรำ
หนังเรื่อง Suspiria (2018) กำกับโดย Luca Guadagnino นำแสดงโดย Dakota Johnson, Tilda Swinton, Mia Goth, Chloë Grace Moretz และนักแสดงจากเวอร์ชันออริจินัลอย่าง Jessica Harper ในบทรับเชิญ
แนว: สยองขวัญเหนือธรรมชาติ, ปริศนา, ดราม่า
ปีที่เข้าฉาย: 2018
เรื่องย่อคร่าวๆ: Susie Bannion (Dakota Johnson) นักเต้นสาวชาวอเมริกันผู้เปี่ยมพรสวรรค์ เดินทางมาออดิชันที่สถาบันสอนเต้นรำ Markos อันเลื่องชื่อในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ในปี 1977. ช่วงที่เธอก้าวเข้ามา สถาบันแห่งนี้กำลังสั่นคลอนจากเหตุการณ์ประหลาดและการหายตัวไปของนักเรียน. ยิ่ง Susie เข้าใกล้คณะอาจารย์ผู้ลึกลับและดำดิ่งสู่โลกแห่งการเต้นรำมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งค้นพบว่าเบื้องหลังความสง่างามของสถาบันแห่งนี้ซ่อนความลับดำมืดเกี่ยวกับกลุ่มแม่มดเอาไว้
จุดเด่นที่เขาว่ากัน:
- งานภาพและบรรยากาศสุดหลอน: ไม่เน้นสีสันจัดจ้านเหมือนเดิม แต่เน้นความหม่น ทึบ เย็นยะเยือก สร้างความอึดอัดได้ดี
- การแสดงของ Tilda Swinton: เห็นเธอคนเดียวก็คุ้มแล้ว แถมเรื่องนี้เล่นหลายบทบาทด้วยนะ!
- เพลงประกอบโดย Thom Yorke: ฟรอนต์แมนวง Radiohead มาทำเพลงประกอบให้ ฟังแล้วหลอนติดหู
- ฉากเต้นรำที่ทรงพลัง: ท่าเต้นดูแปลกประหลาด แต่แฝงความหมายและพลังงานบางอย่างไว้
2. เนื้อเรื่อง: ค่อยๆ คลาน ค่อยๆ คลั่ง
Suspiria เวอร์ชันนี้ไม่ได้เล่าเรื่องแบบหนังผีทั่วไปที่ตุ้งแช่ แต่จะค่อยๆ พาเราดำดิ่งไปกับ Susie ที่เข้ามาในสถาบัน. หนังจะเปิดปมหลายอย่างพร้อมๆ กัน ทั้งเรื่องแม่มด ปริศนาการหายตัวไป และเรื่องราวในอดีตของเบอร์ลินในปี 1977 ซึ่งเป็นช่วงที่บ้านเมืองยังมีความวุ่นวายและบาดแผลทางประวัติศาสตร์
การดำเนินเรื่องอาจจะไม่ได้หวือหวาตลอดเวลา แต่หนังจะใช้บรรยากาศ ความเงียบ และเสียงต่างๆ มาบีบคั้นอารมณ์คนดู. กว่าจะไปถึงจุดพีคก็ต้องอาศัยความอดทนในการรับชมอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าผ่านไปได้ บอกเลยว่าฉากไคลแม็กซ์ท้ายเรื่องคือจัดเต็ม จัดหนัก ชนิดที่ว่าหลอนติดตาไปอีกนาน
นอกจากเรื่องแม่มดแล้ว หนังยังสอดแทรกประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น การใช้อำนาจ, เพศสภาพ, ความเป็นแม่, และความรู้สึกผิดที่ส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่น
3. งานภาพและความสวยหลอน: ไม่แดง แต่ก็แพงนะ
ถ้าคุณเป็นแฟน Suspiria เวอร์ชันเดิม ที่ชื่นชอบโทนสีแดงจัดจ้าน งานภาพเวอร์ชัน 2018 อาจทำให้คุณประหลาดใจ เพราะเรื่องนี้แทบจะตรงกันข้ามเลย. ผู้กำกับเลือกใช้โทนสีหม่นๆ เทาๆ น้ำตาลๆ ให้ความรู้สึกหนาวเย็นและกดดัน เหมือนบรรยากาศในกรุงเบอร์ลินช่วงฤดูหนาว
แต่ใช่ว่างานภาพจะไม่สวยนะ! ด้วยฝีมือของ Sayombhu Mukdeeprom (ผู้กำกับภาพชาวไทย ที่เคยฝากผลงานไว้ใน Call Me By Your Name) ทำให้ภาพใน Suspiria ออกมาดูดี มีสไตล์ แม้จะไม่ได้เน้นสีสันฉูดฉาด. การจัดองค์ประกอบภาพ มุมกล้องที่ดูบิดเบี้ยวไม่ปกติ การใช้กระจกสะท้อน ทำให้เรารู้สึกไม่ปลอดภัยและสับสนไปกับตัวละคร
ฉากเต้นรำคืออีกส่วนที่โดดเด่นมากในด้านภาพ. ท่าเต้นที่ออกแบบโดย Damien Jalet ดูทรงพลัง แปลกประหลาด และเชื่อมโยงกับพลังแม่มดได้อย่างน่าทึ่ง. ฉากที่การเต้นของตัวละครหนึ่งส่งผลกระทบทางกายภาพต่ออีกตัวละครในห้องอื่นนี่คือสุดยอดจริงๆ ทั้งสวยงามและสยดสยองไปพร้อมกัน
4. เสียงและดนตรีประกอบ: หลอนเข้ากระดูกดำ
เพลงประกอบโดย Thom Yorke (นักร้องนำวง Radiohead) คืออีกหนึ่งองค์ประกอบที่ทำให้ Suspiria เวอร์ชันนี้สมบูรณ์แบบ. ดนตรีของเขาไม่ได้มาแบบโครมคราม แต่จะค่อยๆ สร้างบรรยากาศหลอนๆ กดดันๆ บางทีก็วังเวง บางทีก็ไพเราะ แต่แฝงความน่าขนลุกไว้ตลอดเวลา
เสียงต่างๆ ในหนังก็มีส่วนสำคัญในการสร้างความหลอน ทั้งเสียงพื้นไม้ลั่น เสียงลมหวีดหวิว เสียงร้อง หรือเสียงกระดูกที่บิดเบี้ยวผิดรูป เสียงเหล่านี้จะตามหลอกหลอนเราไปเรื่อยๆ ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวตลอดการรับชม
เพลง "Suspirium" ที่เป็นเพลงธีมหลักก็ไพเราะแต่เศร้าสร้อย ฟังแล้วติดหู แต่ก็พาให้รู้สึกเหงาๆ หดหู่ตามไปด้วย
5. ประสิทธิภาพการแสดง: Tilda Swinton แบก!
นักแสดงในเรื่องนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง และแต่ละคนก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเยี่ยม. Dakota Johnson ในบท Susie แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของตัวละครจากสาวน้อยใสซื่อที่ค่อยๆ เปลี่ยนไป. Mia Goth ในบท Sara ก็เป็นอีกตัวละครที่น่าจดจำ
แต่คนที่ขโมยซีนไปเต็มๆ คงหนีไม่พ้น Tilda Swinton. เธอรับบทถึง 3 ตัวละครในเรื่องนี้! ทั้ง Madame Blanc ครูสอนเต้นผู้ทรงอิทธิพล, Helena Markos แม่มดเฒ่าผู้น่าเกรงขาม, และที่พีคสุดคือ Dr. Josef Klemperer นักจิตวิทยาชายสูงอายุ! การแสดงของเธอในบท Dr. Klemperer คือสุดยอดการแปลงโฉมจริงๆ ซึ่งตอนแรกทีมงานพยายามปกปิดว่าเป็นเธอเล่นบทนี้ด้วยซ้ำ. การแสดงของ Tilda Swinton ในทุกบทบาททำให้หนังมีมิติและน่าติดตามมากขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้
6. ข้อดี - ข้อเสีย: มีทั้งคนรักและคนเกลียด
หนังเรื่องนี้เป็นที่รู้กันว่า 'โคตรจะ polarizing' คือมีทั้งคนที่ชอบมากถึงขั้นยกขึ้นหิ้ง กับคนที่ไม่ชอบเลย ดูแล้วงง ไม่สนุก. เรามาดูข้อดีข้อเสียแบบกลางๆ กันดีกว่า:
ข้อดี:
- งานภาพและบรรยากาศเฉพาะตัว: ไม่เหมือนหนังสยองขวัญเรื่องไหนๆ สร้างความหลอนแบบค่อยเป็นค่อยไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เพลงประกอบสุดยอด: ดนตรีของ Thom Yorke ยกระดับความหลอนและหดหู่ให้หนังได้มาก
- การแสดงทรงพลัง: โดยเฉพาะ Tilda Swinton ที่แสดงหลายบทบาทได้อย่างน่าทึ่ง
- มีประเด็นให้ตีความเยอะ: ทั้งเรื่องอำนาจ สังคม เพศสภาพ และประวัติศาสตร์เยอรมนี
- ฉากจบที่บ้าระห่ำ: ถึงจะรอนาน แต่ฉากไคลแม็กซ์คือจัดเต็มความสยดสยองแบบไม่ยั้ง
ข้อเสีย:
- ความยาวและจังหวะที่เนิบช้า: หนังยาวถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง และดำเนินเรื่องค่อนข้างช้า อาจทำให้บางคนเบื่อได้
- เนื้อเรื่องเข้าใจยาก/ซับซ้อน: มีปมและสัญลักษณ์เยอะ อาจต้องใช้การตีความหรือดูซ้ำ
- ฉากรุนแรงและน่าขยะแขยง: มีฉาก Body Horror และความรุนแรงที่โจ่งแจ้งมากๆ ไม่เหมาะกับคนขวัญอ่อน
- อาจไม่ถูกใจแฟนหนังเดิม: เพราะมีความแตกต่างจากเวอร์ชันปี 1977 ค่อนข้างมาก ทั้งโทนเรื่องและงานภาพ
7. เหมาะกับใคร & คำแนะนำในการตัดสินใจ
Suspiria (2018) เหมาะกับ:
- คนที่ชอบหนังสยองขวัญแนว Art House หรือ Psychological Horror
- คนที่ชอบหนังที่เน้นบรรยากาศ งานภาพ และเสียง มากกว่า Jump Scare
- คนที่เปิดใจรับความแปลกใหม่ และการตีความที่แตกต่างจากต้นฉบับ
- คนที่ชื่นชอบนักแสดงอย่าง Tilda Swinton
- คนที่อยากลองดูหนังสยองขวัญที่มีประเด็นทางสังคมและการเมืองสอดแทรก
ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับ:
- คนที่ชอบหนังสยองขวัญแบบดูง่ายๆ ตุ้งแช่
- คนที่ไม่ชอบหนังที่ดำเนินเรื่องช้า หรือต้องตีความ
- คนที่ไม่ชอบฉากรุนแรง โหดเหี้ยม หรือน่าขยะแขยง
- คนที่คาดหวังว่าจะได้ดู Suspiria เวอร์ชันเดิมในภาพใหม่เป๊ะๆ
ควรดูไหม? ถ้าคุณอ่านข้อดีข้อเสียแล้วรู้สึกว่า "เออ นี่แหละแนวเรา!" ก็ลุยเลยค่ะ! แต่ถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่า "โห...ยาวจัง, น่าจะงง, มีฉากโหดเยอะ" ก็อาจจะต้องพิจารณาอีกที. หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังที่ดูง่าย แต่ถ้าคุณเปิดใจ คุณอาจจะได้เจอประสบการณ์การรับชมที่น่าจดจำไปอีกนาน
8. เปรียบเทียบกับ Suspiria (1977): คนละฟีลแต่ดีคนละแบบ
อย่างที่บอกไปว่า Suspiria เวอร์ชัน 2018 ไม่ใช่การรีเมกแบบถอดแบบมาเป๊ะๆ แต่เป็นการ "Reimagining" หรือตีความใหม่.
- เวอร์ชัน 1977: เน้นสีสันจัดจ้านเหมือนฝันร้าย (Giallo Style), ดนตรีประกอบโดย Goblin ที่ติดหูและหลอนในแบบฉบับตัวเอง, เนื้อเรื่องเรียบง่ายกว่า เน้นความเหนือจริงและความน่ากลัวทางกายภาพ
- เวอร์ชัน 2018: เน้นโทนสีหม่นๆ ทึบๆ, ดนตรีประกอบแบบ Ambient โดย Thom Yorke ที่สร้างความหลอนทางจิตใจ, เนื้อเรื่องซับซ้อนกว่า มีการสอดแทรกประเด็นทางสังคม การเมือง และจิตวิทยา, ความน่ากลัวเน้นไปที่ Body Horror และความอึดอัดทางบรรยากาศ
สรุปคือทั้งสองเวอร์ชันมีความดีงามและเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง. ถ้าคุณชอบเวอร์ชันเดิม ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องชอบเวอร์ชันใหม่เสมอไป หรือถ้าไม่เคยดูเวอร์ชันเดิมมาก่อน การมาดูเวอร์ชัน 2018 เลยก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรค่ะ
9. ช่องทางการรับชม: หาดูได้ที่ไหนนะ?
เนื่องจาก Suspiria (2018) ออกมาหลายปีแล้ว อาจจะไม่ได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์แล้วในตอนนี้.
สำหรับช่องทางการรับชมออนไลน์ ต้องลองเช็กในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งต่างๆ เช่น Amazon Prime Video (เนื่องจาก Amazon Studios เป็นหนึ่งในผู้สร้างและจัดจำหน่าย) หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่ให้บริการในประเทศไทยค่ะ บางทีอาจจะมีให้เช่าซื้อหรืออยู่ในแคตตาล็อกหนังหมุนเวียนของแต่ละเดือน.
ถ้าเป็นช่วงเทศกาลฮาโลวีน หรือเทศกาลหนัง อาจจะมีรอบฉายพิเศษ หรือนำกลับมาฉายบนแพลตฟอร์มชั่วคราว ก็ต้องคอยติดตามประกาศจากผู้ให้บริการอีกทีค่ะ.
10. บทสรุป: ควรดูหรือไม่?
โดยรวมแล้ว Suspiria (2018) เป็นหนังที่ 'น่าดู... ถ้าคุณเป็นคนชอบเสพงานภาพ บรรยากาศ และความหลอนแบบไม่เหมือนใคร'. มันคือหนังที่ท้าทายคนดู ไม่ได้มาเอาใจทุกคน แต่ถ้าคุณพร้อมที่จะดำดิ่งไปกับมัน คุณจะได้เจอประสบการณ์ที่เข้มข้นและน่าจดจำ.
คำแนะนำสุดท้าย:
- สำหรับคอหนังสยองขวัญตัวจริง: ควรหามาดูอย่างยิ่งค่ะ ถือเป็นงานภาพและบรรยากาศที่น่าสนใจมากๆ
- สำหรับคนที่อยากลองดูหนังสยองแนวใหม่: ลองเปิดใจดูได้ แต่อาจจะต้องเตรียมใจกับความเนิบช้าและความงงงวยในช่วงแรก
- สำหรับคนขวัญอ่อน หรือไม่ชอบฉากรุนแรง: ข้ามไปได้เลยค่ะ เพราะมีฉากที่ disturbing มากๆ
หนังเรื่องนี้อาจจะทำให้คุณรู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจ หรือแม้กระทั่งอยากเดินออกจากโรง (ถ้าดูในโรง) แต่ในอีกมุมหนึ่ง มันก็คือเสน่ห์ของหนังที่สร้างความรู้สึกเหล่านี้กับคนดูได้อย่างทรงพลังมากๆ.
แล้วคุณล่ะ? เคยดู Suspiria เวอร์ชันไหนมาบ้าง? หรือมีแพลนจะดูเวอร์ชัน 2018 ไหม? มาคอมเมนต์แชร์ความเห็นกันได้เลยนะ!
วิดีโอที่เกี่ยวข้อง
แนะนำสำหรับคุณ
จัดกระดูก คืออะไร? รีวิว ประสบการณ์ และข้อควรรู้
รวมร้านหมูจุ่ม เชียงใหม่ อร่อยเด็ด บรรยากาศดี
รีวิว Beauty Plus Clinic กำจัดขน: เลเซอร์ขนที่นี่ดีไหม ราคาเป็นอย่างไร?
รีวิวหนัง "ฮาวทูทิ้ง..ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ" ประทับใจแค่ไหน?
รีวิว Adidas Edge Lux Clima: รองเท้าวิ่ง Adidas ระบายอากาศดี น่าใส่ไหม?
รีวิว Hisense 55B7700UW ทีวี 55 นิ้ว ภาพสวย คุ้มราคาไหม?