logo

Dr. Cure 7 Hyaluron Intensive Serum รีวิว: เซรั่มไฮยาลูรอน 7 ชนิด เข้มข้นจริงหรือ?

user avatar
ภูมิ พงศ์ธนาธิป·06/30/2025 10:37
点赞
Dr. Cure 7 Hyaluron Intensive Serum รีวิว: เซรั่มไฮยาลูรอน 7 ชนิด เข้มข้นจริงหรือ?

โอ้โห้! ช่วงนี้มองไปทางไหนก็เจอแต่คนผิวแห้งเป็นขุย หน้าหมองคล้ำเหมือนไม่ได้นอนมา 3 วัน! ปัญหาสุดฮิตของคนไทย ไม่ว่าจะเจอแดดเมืองไทยที่แรงเบอร์สิบ หรือนั่งทำงานในห้องแอร์เย็นฉ่ำทั้งวัน ผิวก็เสียความชุ่มชื้นไปหมด ปล่อยไว้นาน ริ้วรอยถามหา หน้าแก่ก่อนวัยแน่ๆ

แต่ในโลกสกินแคร์ที่หมุนเร็วยิ่งกว่าพัดลมเบอร์ 3 ก็มีไอเทมที่เคลมว่าช่วยกู้ชีพผิวแห้งกร้านได้ทันที นั่นก็คือ "เซรั่มไฮยาลูรอน" ที่เป็นส่วนผสมยอดฮิตของปีนี้ (และน่าจะอีกหลายปี!) และหนึ่งในนั้นที่มีกระแสฮือฮาพอสมควรก็คือ Dr. Cure 7 Hyaluron Intensive Serum ที่เขาว่ามาพร้อมไฮยาลูรอนถึง 7 ชนิด! ฟังแล้วดูเข้มข้น จัดเต็ม น่าลองสุดๆ

แต่เดี๋ยวก่อน... 7 ชนิดนี่มันช่วยจริงเหรอ? หรือแค่เป็นกิมมิกการตลาด? เนื้อสัมผัสเป็นยังไง? ใช้แล้วจะหน้าเยิ้ม เหนอะหนะ เหมือนโดนน้ำเชื่อมราดหน้ารึเปล่า? วันนี้เราจะมาเจาะลึกเซรั่มตัวนี้ให้ดูกันแบบหมดเปลือก! จะเข้มข้นสมชื่อ หรือจกตา เราจะรีวิวแบบบ้านๆ สไตล์คนชอบช้อปออนไลน์ขี้สงสัย พร้อมแล้วก็ไปดูกันเล้ย!


1. ภาพรวมของสินค้า: รู้จัก Dr. Cure 7 ให้มากขึ้นอีกนิด!

เจอในออนไลน์บ่อยๆ แต่หลายคนอาจจะยังงงๆ ว่าแบรนด์นี้มาจากไหน ใช่เกาหลี ญี่ปุ่น หรือไทยกันแน่ แล้วเจ้าเซรั่มขวดนี้มันคืออะไร?

แบรนด์: Dr. Cure 7

ชื่อเต็ม: Dr. Cure 7 Hyaluron Intensive Serum

ขนาด: ส่วนใหญ่ที่เห็นในตลาดออนไลน์ไทยจะเป็นขนาด 40ml

ช่วงราคา: ราคาหลากหลายมาก แล้วแต่โปรโมชั่นและช่องทางขาย แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงหลักร้อยกลางๆ ไปจนถึงพันต้นๆ ค่ะ

ตำแหน่งในตลาด: จัดเป็นเซรั่มไฮยาลูรอนที่เน้นเรื่องความชุ่มชื้นเป็นหลัก เหมาะกับคนที่ผิวขาดน้ำ ผิวแห้งกร้าน หรือคนที่อยากเสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงขึ้น

จุดเด่นที่เคลมไว้ (และเราจะมาพิสูจน์):

  • ไฮยาลูรอน 7 ชนิด: ตัวชูโรงเลย เคลมว่าช่วยเติมน้ำให้ผิวได้ล้ำลึกและยาวนาน
  • เพิ่มความชุ่มชื้นขั้นสุด: ฟังดูอลังการ แต่จริงไหมต้องลอง
  • ช่วยให้ผิวดูอิ่มฟู เรียบเนียน: ผลพลอยได้จากผิวที่ชุ่มชื้นนั่นเอง
  • เนื้อสัมผัสบางเบา ซึมง่าย: อันนี้สำคัญมากสำหรับอากาศเมืองไทย!

2. ดีไซน์ & รูปลักษณ์ภายนอก: ขวดสวยน่าใช้ แค่ไหนก็วางได้!

เรื่องแพ็คเกจจิ้งนี่ก็มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออยู่นะ ยิ่งวางบนโต๊ะเครื่องแป้งแล้วดูดี นี่ให้คะแนนเพิ่มเลย

ขวด: มาในขวดแก้วสีฟ้าใสๆ ดูสะอาดตา เห็นเนื้อเซรั่มด้านในได้ชัดเจน

หัวปั๊ม/หลอดดูด: ส่วนใหญ่ที่เจอจะเป็นแบบหัว Dropper หรือหลอดดูด ทำให้ควบคุมปริมาณการใช้ได้ง่ายดี กะได้ว่าจะใช้กี่หยด

ขนาด: ขวด 40ml ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป พกพาง่ายถ้าต้องเดินทาง หรือจะวางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งก็ไม่เปลืองพื้นที่

วัสดุ: ขวดแก้วดูแข็งแรงดีอยู่นะคะ ไม่ได้ดูก๊องแก๊ง

อุปกรณ์เสริมในกล่อง: เท่าที่เห็นรีวิวมา จะมีแค่ตัวเซรั่มในกล่อง ไม่ได้มีไม้พาย หรืออุปกรณ์พิเศษอื่นๆ ค่ะ


3. ประสบการณ์ในการใช้งานฟังก์ชันหลัก: ไฮยาลูรอน 7 ชนิด มันต่างจริงหรือ?

มาถึงหัวใจหลัก! ลองใช้จริงจังแล้วเป็นยังไงบ้างนะ?

เนื้อสัมผัส: ตัวนี้เนื้อจะออกแนวเซรั่มใสๆ มีความหนืดเล็กน้อย แต่ไม่ได้เหนียวแบบน้ำเชื่อมนะคะ ตอนหยดลงผิวจะรู้สึกเย็นๆ เล็กน้อย ซึ่งเหมาะมากกับอากาศร้อนๆ ของบ้านเรา

การซึมซาบ: ซึมเข้าผิวไวอยู่นะ เกลี่ยแปปเดียวก็ซึมไปกับผิว ไม่ได้ทิ้งความเหนอะหนะไว้จนรำคาญ อันนี้ดีงาม! ทาตอนเช้าก่อนแต่งหน้าก็ไม่ทำให้รองพื้นเป็นคราบ

ความรู้สึกหลังใช้ทันที: สิ่งแรกที่รู้สึกได้เลยคือ ผิวดูชุ่มชื้นขึ้นทันที! เหมือนผิวที่กำลังหิวได้น้ำเปล่าเย็นๆ เข้าไป มันจะรู้สึกอิ่มๆ ฟูๆ ขึ้นมาเล็กน้อย อาการแห้งตึงหลังล้างหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

แล้ว 7 ชนิดมันช่วยต่างกันยังไง? เรื่องนี้ต้องบอกตามตรงว่าผู้บริโภคอย่างเราๆ อาจจะแยกยากด้วยความรู้สึกล้วนๆ ค่ะ แต่ตามหลักการแล้ว ไฮยาลูรอนที่มีขนาดโมเลกุลต่างกันจะช่วยเติมความชุ่มชื้นในชั้นผิวที่แตกต่างกัน โมเลกุลเล็กอาจจะซึมได้ลึกกว่า ในขณะที่โมเลกุลใหญ่จะอยู่บนผิวเพื่อเคลือบและกักเก็บน้ำ การมีหลายชนิดก็น่าจะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการให้ความชุ่มชื้นได้ครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งจากที่ใช้ก็รู้สึกว่าผิวมันดูอิ่มน้ำยาวนานกว่าเซรั่มไฮยาลูรอนที่เคยใช้บางตัวนะ (อันนี้ความรู้สึกส่วนตัวนะจ๊ะ!)


4. ประสบการณ์การใช้งาน & ความง่ายในการใช้: มือใหม่หัดทาเซรั่มก็รอด!

ใครเพิ่งเริ่มใช้เซรั่ม หรือไม่ชอบสกินแคร์หลายขั้นตอน ตัวนี้ใช้ง่ายมาก!

ใช้ง่ายแค่ไหน: ง่ายมาก! ล้างหน้า โทนเนอร์ (ถ้าใช้) แล้วก็หยดเซรั่มนี้ตามได้เลย ใช้แค่ 2-3 หยดก็ทั่วหน้าแล้วค่ะ สามารถใช้ได้ทั้งเช้าและก่อนนอน

การเลเยอร์กับสกินแคร์ตัวอื่น: สบายมาก! ด้วยความที่เนื้อซึมไว ไม่เหนอะหนะ ทำให้ทาเซรั่มตัวอื่น มอยส์เจอร์ไรเซอร์ หรือกันแดดทับได้แบบไม่มีปัญหา ไม่มีการเกิดขุย หรือความรู้สึกหนักหน้าเลยค่ะ

มีกลิ่นไหม? แพ้ง่ายใช้ได้เปล่า?: เท่าที่ลองและดูรีวิวอื่นๆ ส่วนใหญ่บอกว่า ไม่มีกลิ่นน้ำหอมฉุนๆ กวนใจนะคะ บางคนผิวแพ้ง่ายก็ใช้ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผิวแต่ละคนไม่เหมือนกัน แนะนำให้ลองเทสที่ท้องแขนก่อนใช้ทั่วหน้านะคะ เพื่อความปลอดภัย!

หมดไวไหม: ขวด 40ml ใช้เช้า-เย็น ครั้งละ 2-3 หยด ก็น่าจะใช้ได้ประมาณ 1-2 เดือน ขึ้นอยู่กับปริมาณที่เราใช้นะคะ


5. ความคุ้มค่าในระยะยาว: จ่ายเท่านี้ ได้ผลแค่ไหน?

เรื่องความคุ้มค่ากับเงินในกระเป๋าเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด!

ราคาเทียบกับปริมาณ: ถ้าเทียบกับเซรั่มไฮยาลูรอนในตลาด ถือว่า Dr. Cure 7 ทำราคาออกมาได้น่าสนใจเลยค่ะ ในขนาด 40ml ที่ราคาหลักร้อยปลายๆ ถึงพันต้นๆ ถือว่าเข้าถึงง่าย ไม่ได้แพงจนเกินไป

ผลลัพธ์ที่ได้กับราคาที่จ่าย: ถ้าโฟกัสที่เรื่อง ความชุ่มชื้น อย่างเดียว บอกเลยว่าทำได้ดีมากค่ะ ผิวอิ่มน้ำขึ้น แต่งหน้าง่ายขึ้น อาการผิวแห้งลอกลดลง ถ้าปัญหาผิวของคุณคือขาดน้ำเป็นหลัก ตัวนี้ตอบโจทย์และคุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไปค่ะ

เทียบกับตัวแพงๆ: แน่นอนว่าเซรั่มไฮยาลูรอนตัวดังๆ ราคาแพงๆ ก็อาจจะมีส่วนผสมอื่นๆ ที่ช่วยเรื่องริ้วรอย ความกระจ่างใส หรือเสริมเกราะป้องกันผิวได้ครบวงจรกว่า แต่ถ้ามองหาแค่ "เซรั่มเติมน้ำให้ผิว" ที่เห็นผลชัดเจนในราคาเป็นมิตร Dr. Cure 7 ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากๆ ค่ะ


6. สรุปข้อดี-ข้อเสีย: มีทั้งปังและพังตรงไหนบ้าง?

มาดูกันแบบตรงไปตรงมา มีอะไรที่ชอบ และอะไรที่ยังไม่โดน

ข้อดี (ที่คนไทยน่าจะเลิฟ):

  • เติมน้ำให้ผิวฉ่ำทันที: รู้สึกได้เลยว่าผิวอิ่มฟูขึ้นหลังใช้
  • เนื้อบางเบา ซึมไว ไม่เหนอะหนะ: เหมาะกับอากาศร้อนๆ ของไทยมาก
  • ราคาเป็นมิตร เข้าถึงง่าย: หาซื้อง่าย โปรโมชั่นเยอะ
  • ใช้ร่วมกับสกินแคร์อื่นได้ดี: ไม่ตีกับใคร ไม่ทำให้เป็นคราบ
  • แพ็คเกจดูดี: ขวดสวย วางบนโต๊ะเครื่องแป้งแล้วสบายตา

ข้อเสีย (ที่อาจทำให้ต้องคิดเยอะหน่อย):

  • ไม่ได้เน้นแก้ปัญหาอื่น: ถ้าหวังเรื่องลดริ้วรอย รอยสิว หรือความกระจ่างใส อาจจะต้องมองหาส่วนผสมอื่นเสริม (อันนี้ก็ตรงไปตรงมาตามชื่อสินค้าเขาเน้น Hyaluron)
  • เรื่อง 7 ชนิด อาจจะไม่รู้สึกต่างชัดเจนนัก: ถึงแม้จะมีไฮยาลูรอนหลายแบบ แต่ในแง่ของผู้ใช้ทั่วไป อาจจะไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างที่มาจากชนิดของไฮยาลูรอนโดยตรงเท่าไหร่ (แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแย่นะ เพราะโดยรวมมันก็ให้ความชุ่มชื้นดี!)
  • อาจจะต้องใช้ปริมาณเยอะหน่อยสำหรับผิวแห้งมาก: ถ้าผิวแห้งขั้นสุด อาจจะต้องหยดหลายหยด หรือใช้ร่วมกับมอยส์เจอร์ไรเซอร์เนื้อหนักขึ้นหน่อย

7. เหมาะกับใคร & คำแนะนำในการซื้อ: ซื้อหรือไม่ซื้อ? ควักเงินตอนนี้เลยดีไหม?

ใครบ้างที่ควรมีเซรั่มตัวนี้ไว้ในกรุ?

เหมาะกับ:

  • คนที่ผิวแห้งขาดน้ำ: อันดับหนึ่ง! ตัวนี้ช่วยเติมน้ำให้ผิวได้ดีจริง
  • คนผิวมันแต่ขาดความชุ่มชื้น: ผิวมันก็ขาดน้ำได้นะ! ตัวนี้เนื้อบางเบา ไม่เพิ่มความมันให้หน้า
  • คนที่ใช้ยารักษาสิวแล้วผิวแห้ง: ช่วยปลอบประโลมและเติมความชุ่มชื้นให้ผิวที่ระคายเคือง
  • คนที่เพิ่งเริ่มใช้สกินแคร์: ใช้ง่าย ไม่ซับซ้อน เป็นสเต็ปแรกๆ ที่ควรมี
  • คนที่อยากได้เซรั่มไฮยาลูรอนดีๆ ในราคาสบายกระเป๋า: คุ้มค่ากับราคา

เหมาะกับการใช้งานแบบไหน:

  • ใช้เป็น Pre-Serum ก่อนลงสกินแคร์ตัวอื่น
  • ใช้เดี่ยวๆ ในวันที่อยากให้ผิวได้พัก หรือวันที่อากาศร้อนมากๆ
  • ใช้ได้ทั้งเช้าและก่อนนอน

ควรซื้อเลยไหม?

ถ้ากำลังมองหาเซรั่มที่เน้นเรื่อง เติมความชุ่มชื้นให้ผิวอิ่มน้ำ และมีงบประมาณจำกัด หรืออยากได้เซรั่มไฮยาลูรอนขวดแรกที่ใช้ง่าย เห็นผลเรื่องความชุ่มชื้นชัดเจน ซื้อเลยค่ะ! ไม่ผิดหวังแน่นอน

หรือควรรอโปรดีกว่า?

บอกเลยว่าในแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง Lazada หรือ Shopee ตัวนี้มีโปรโมชั่นบ่อยมาก! ทั้งลดราคา โค้ดส่วนลด หรือบางทีก็มีของแถม ถ้าไม่รีบมาก รอช่วงแคมเปญใหญ่ๆ หรือช่วงเทศกาล ก็อาจจะได้ราคาที่คุ้มค่ากว่าเดิมไปอีกค่ะ


8. เปรียบเทียบกับสินค้าคล้ายๆ กัน (เลือกใส่ก็ได้): แล้วถ้าเทียบกับตัวอื่นล่ะ?

ในตลาดมีเซรั่มไฮยาลูรอนเยอะมาก แล้ว Dr. Cure 7 ต่างจากตัวอื่นยังไง?

ถ้าเทียบกับเซรั่มไฮยาลูรอนแบรนด์อื่นๆ ในช่วงราคาใกล้เคียงกัน Dr. Cure 7 จุดเด่นอยู่ที่การเคลมเรื่อง "7 ชนิด" นี่แหละค่ะ ซึ่งโดยทางทฤษฎีแล้วน่าจะช่วยเรื่องความชุ่มชื้นได้ครอบคลุมกว่าโมเลกุลเดียว ส่วนในแง่ของเนื้อสัมผัสและความสามารถในการซึมไว ถือว่าทำได้ดีพอๆ กับหลายๆ ตัวที่ราคาแพงกว่าด้วยซ้ำค่ะ

บางแบรนด์อาจจะมีส่วนผสมอื่นเสริมเข้ามา เช่น Niacinamide, Vitamin C หรือ Peptide เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาผิวอื่นๆ ด้วย ถ้าต้องการเซรั่มที่ให้ผลลัพธ์แบบ All-in-one อาจจะต้องพิจารณาตัวอื่นที่มีส่วนผสมหลากหลายกว่าค่ะ แต่ถ้าเน้นแค่ "ไฮยาลูรอน" เพียวๆ Dr. Cure 7 ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและมีจุดแข็งเรื่อง 7 ชนิดนี่แหละ


9. บริการหลังการขายและช่องทางการซื้อ: ซื้อง่าย เคลมได้ไหม?

เรื่องการซื้อและการรับประกันก็สำคัญไม่แพ้ตัวสินค้า!

ช่องทางการซื้อ: ตัวนี้หาซื้อง่ายมากๆ ค่ะ หลักๆ จะมีในแพลตฟอร์มออนไลน์ยอดฮิตอย่าง Lazada และ Shopee นอกจากนี้อาจจะมีในร้านค้าออนไลน์อื่นๆ หรือร้านมัลติแบรนด์บ้างค่ะ

การรับประกัน/คืนสินค้า: ส่วนใหญ่การซื้อผ่าน Lazada หรือ Shopee จะมีนโยบายการคืนสินค้าได้ภายใน 7-15 วัน หากสินค้ามีปัญหา หรือไม่ตรงตามที่สั่ง อันนี้ต้องเช็คเงื่อนไขของแต่ละร้านและแต่ละแพลตฟอร์มอีกทีนะคะ แต่ถ้าซื้อจากร้านค้า Official หรือร้านที่น่าเชื่อถือ ก็อุ่นใจได้ระดับนึงค่ะ

โปรโมชั่น & ส่วนลด: อย่างที่บอกว่าตัวนี้มีโปรโมชั่นบ่อยมาก! แนะนำให้ติดตามร้านค้าในแพลตฟอร์มออนไลน์ไว้เลยค่ะ บางทีมีโค้ดลดเพิ่ม มีเงินคืน หรือมีโปรส่งฟรี ก็ช่วยประหยัดไปได้เยอะเลย

การจัดส่ง: ถ้าสั่งจากร้านในไทย ปกติก็ส่งไวอยู่นะคะ 1-3 วันก็น่าจะได้ของแล้ว แต่ถ้าสั่งจากต่างประเทศ (ซึ่งก็มีขายใน Lazada/Shopee เหมือนกัน) อาจจะต้องรอนานหน่อย


10. บทสรุปและคำแนะนำในการซื้อ: สรุปแล้ว Dr. Cure 7 มันปังจริงหรือ?

ฟันธงเลยว่า Dr. Cure 7 Hyaluron Intensive Serum เป็นเซรั่มไฮยาลูรอนที่ คุ้มค่ากับราคามากๆ ถ้าคุณมีปัญหาผิวแห้งขาดน้ำ ผิวดูไม่สดใส ตัวนี้ช่วยได้จริงค่ะ เห็นผลเรื่องความชุ่มชื้นชัดเจน ผิวดูอิ่มฟูขึ้น แต่งหน้าง่ายขึ้น

เหมาะสำหรับ:

  • ผู้เริ่มต้นใช้สกินแคร์: ใช้ง่าย ไม่ยุ่งยาก
  • คนที่มีงบประมาณจำกัด: คุณภาพดีเกินราคา
  • คนที่ต้องการเน้นเรื่องความชุ่มชื้นเป็นหลัก: ตัวนี้ตอบโจทย์ตรงๆ

ถ้าคุณกำลังมองหาเซรั่มไฮยาลูรอนที่ช่วยเติมน้ำให้ผิวแบบจริงจัง ในราคาที่ไม่แรง และเนื้อสัมผัสดีงาม ไม่เหนอะหนะ Dr. Cure 7 เป็นตัวเลือกที่ แนะนำให้ลอง! โดยเฉพาะช่วงที่มีโปรโมชั่น ซื้อตุนได้เลย ไม่เสียหายจ้า!

แต่ถ้าปัญหาผิวของคุณซับซ้อนกว่านั้น เช่น มีริ้วรอยชัดเจน มีรอยสิวเยอะมาก หรือต้องการให้ผิวขาวกระจ่างใสขึ้นแบบก้าวกระโดด อาจจะต้องมองหาเซรั่มที่มีส่วนผสมอื่นๆ ที่ตอบโจทย์ปัญหานั้นๆ โดยเฉพาะ หรือใช้ Dr. Cure 7 เป็นตัวเสริมเรื่องความชุ่มชื้น แล้วใช้เซรั่มแก้ปัญหาอื่นควบคู่กันไปค่ะ

สรุปง่ายๆ คือ ถ้าผิวขาดน้ำ งบน้อย หรือเพิ่งเริ่มใช้สกินแคร์ ตัวนี้คือ Must-Try! ค่ะ ไม่ต้องลังเล กดใส่ตะกร้าโลด!

เพื่อนๆ คนไหนเคยใช้ Dr. Cure 7 Hyaluron Intensive Serum แล้วเป็นยังไงบ้าง? ชอบไม่ชอบตรงไหน มาแชร์ประสบการณ์กันได้ในคอมเมนต์เลยนะคะ!

วิดีโอที่เกี่ยวข้อง

บทความที่เกี่ยวข้อง

สวัสดีจ้า สายสกินแคร์ทั้งหลาย วันนี้เราจะมาเมาท์มอยเรื่องเซรั่มตัวดังที่หลายคนน่าจะคุ้นหูคุ้นตากันดี นั่นก็คือ La Roche-Posay Hyalu B5 Serum หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่าเซรั่มไฮยาลูรอนขวดฟ้าๆ นั่นเอง! ใครที่กำลังมีปัญหาผิวแห้ง ผิวขาดน้ำ ผิวดูไม
La Roche-Posay Hyalu B5 Serum ราคา รีวิว เซรั่มไฮยาลูรอนตัวดัง
โอ้โห มาถึงปี 2020 แล้ว เวลามันช่างผ่านไปไวเหมือนโกหก! รู้ตัวอีกทีก็สิ้นปี เตรียมเคานต์ดาวน์ แถมสภาพผิวก็เหมือนผ่านศึกมานับไม่ถ้วน! ใครที่กำลังมองหาตัวช่วยกู้ชีพผิวให้ปังรับปีใหม่ แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี เซรั่มก็เยอะ ครีมก็แยะ น้ำตบก็มาเต็
รวม Best Skincare 2020 ตัวเด็ด! สกินแคร์ที่ต้องมี ผิวสวยรับปีใหม่
เอาล่ะค่ะคุณผู้ฟัง! เอ้ย! คุณผู้อ่านทุกท่าน! วันนี้เราจะมาเม้าท์มอยหอยสังข์กับสกินแคร์ตัวนึงที่เค้าว่ากันว่าเด็ดจริงอะไรจริง! ใครมีปัญหาผิวหน้าเริ่มงอแง ไม่ใสเหมือนเมื่อก่อน ริ้วรอยเล็กๆ ถามหา หรือแค่รู้สึกว่า เอ๊ะ! ทำไมผิวดูเหนื่อยๆ แก่กว่
รีวิว Seva Age White Serum: เซรั่มหน้าใส ลดริ้วรอย บอกลาปัญหาผิวแก่ก่อนวัย

บทความล่าสุดดูเพิ่มเติม

โอ๊ยยย... ปวดหลัง ปวดคอ ปวดไหล่! เป็นกันมั้ยจ๊ะชาวออฟฟิศ (หรือชาวฟรีแลนซ์ที่นั่งทำงานหน้าคอมนานๆ) อาการปวดเมื่อยมันเหมือนเพื่อนสนิทที่ตามติดไปทุกที่ บางทีก็คิดนะว่าร่างกายเรามันคงจะเบี้ยวๆ บูดๆ ไปแล้วแน่เลย ถึงได้ปวดได้เมื่อยขนาดนี้! แล้วไอ
จัดกระดูก คืออะไร? รีวิว ประสบการณ์ และข้อควรรู้
ลมหนาวเอื่อยๆ เริ่มพัดมา (หรืออาจจะแค่มโนไปเองในบางวัน 🤣) ท้องฟ้าเริ่มเป็นสีชมพูตอนเย็นๆ โอ๊ย...บรรยากาศมันชวนให้คิดถึงอะไรน้า... ใช่แล้ว! หมูจุ่มร้อนๆ น้ำซุปนัวๆ น้ำจิ้มรสเด็ด! ยิ่งถ้าได้มาอยู่เชียงใหม่ เมืองที่เต็มไปด้วยร้านอร่อย บรรยากา
รวมร้านหมูจุ่ม เชียงใหม่ อร่อยเด็ด บรรยากาศดี
โอ๊ยยย... เบื่อจริงจริ๊งงง! ปัญหาขนกวนใจเนี่ย ไม่ว่าจะขนรักแร้ ขนหน้าแข้ง ขนจิมิ สารพัดขนที่ทำให้เสียเซลฟ์ จะใส่บิกินี่ไปทะเลช่วงสงกรานต์ก็ไม่มั่นใจ จะยกแขนก็กลัวคนเห็นตอขน แถมบางทีโกน ถอน แว็กซ์ จนเป็นหนังไก่บ้าง ขนคุดบ้าง คันยุบยิบไปอีก!
รีวิว Beauty Plus Clinic กำจัดขน: เลเซอร์ขนที่นี่ดีไหม ราคาเป็นอย่างไร?