Nike Free RN Motion Flyknit 2017 รีวิว: รองเท้าวิ่งสายฟรี ดีจริงไหม?


สวัสดีค่าทุกคน! วันนี้เราจะมาเม้าท์มอยเรื่องรองเท้าวิ่งคู่โปรด (ของใครหลายคน) อย่าง Nike Free RN Motion Flyknit 2017 กันค่ะ! เห็นชื่อยาวๆ แบบนี้ แล้วยังมีคำว่า "Free RN Motion" "Flyknit" "2017" อีก เพียบ! บางคนอาจจะงงๆ ว่ามันคืออะไรกันแน่ แล้วที่เขาบอกว่าเป็น "สายฟรี" เนี่ยะ มันดีจริงไหม? ใส่แล้ววิ่งพริ้วเหมือนนก หรือว่าวิ่งแล้วเมื่อยตุ้ม? ไม่ต้องเกาหัวแกรกๆ แล้วค่ะ วันนี้เราจะมาเจาะลึก รีวิวแบบบ้านๆ สไตล์คนไทย ที่ใช้จริง วิ่งจริง จนรู้ไส้รู้พุง! มาดูกันเลยว่าเจ้ารองเท้าคู่นี้มันจะเหมาะกับเท้าคนไทยอย่างเราๆ หรือเปล่า!
1. ภาพรวมสินค้า: มาทำความรู้จัก Nike Free RN Motion Flyknit 2017 กันก่อน
ก่อนจะไปเจาะลึกถึงเนื้อใน มาดูข้อมูลพื้นฐานของรองเท้าคู่นี้กันสักหน่อยค่ะ จะได้รู้ว่าเรากำลังพูดถึงใครกันอยู่
แบรนด์: Nike
รุ่น: Free RN Motion Flyknit 2017
ปีที่วางขาย: 2017
ช่วงราคา: ตอนเปิดตัวราคาสูงอยู่พอสมควร (ประมาณ 125 - 150 USD) แต่ตอนนี้เป็นรุ่นที่ออกมานานแล้ว อาจจะหาซื้อยากหน่อยในร้านทั่วไป แต่ยังพอมีตามร้านออนไลน์ หรือร้านที่ขายของหายาก ซึ่งราคาก็จะแล้วแต่สภาพและความต้องการของตลาดค่ะ บางทีเจอช่วงลดราคาก็คุ้มสุดๆ ไปเลย
การวางตำแหน่งสินค้า: จัดว่าเป็นรองเท้าวิ่งในตระกูล Free ที่เน้นความยืดหยุ่นและการเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับนักวิ่งที่ชอบฟิลลิ่งเหมือนวิ่งเท้าเปล่า หรือเอาไว้ใส่ซ้อมเพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเท้า
จุดเด่นหลักๆ (เท่าที่ลองสัมผัส):
- Upper Flyknit นุ่ม ยืดหยุ่น ระบายอากาศดี: ผ้าถัก Flyknit นี่นุ่มสบายเท้ามาก เหมือนใส่ถุงเท้าหนาๆ เลย แถมโปร่งสบาย ไม่ร้อนเท้า เหมาะกับอากาศเมืองไทยสุดๆ
- พื้นแบบ Free ที่ยืดหยุ่นเป็นพิเศษ: ไฮไลท์ของรุ่นนี้คือพื้นที่มีรอยบากลึกๆ ทำให้พื้นรองเท้ายืดหยุ่นไปตามรูปเท้าเวลาวิ่ง ให้ความรู้สึกอิสระ
- ดีไซน์แบบไร้เชือก (มีสายรัดปรับความกระชับ): ไม่มีเชือกผูกให้วุ่นวาย ใช้สายรัดแบบตีนตุ๊กแกปรับความกระชับแทน ซึ่งบางคนชอบมาก บางคนก็อาจจะไม่ชิน
- น้ำหนักเบา: ตัวรองเท้าค่อนข้างเบา ใส่แล้วไม่รู้สึกถ่วงเท้า
2. ดีไซน์ & รูปลักษณ์ภายนอก: หน้าตาดูทันสมัย ไร้เชือกนี่เก๋กู๊ด!
ตอนเห็นครั้งแรกยอมรับเลยว่าสะดุดตา เพราะมันไม่มีเชือกนี่แหละค่ะ! ดีไซน์ดูคลีนๆ ทันสมัย มินิมอลสไตล์ Nike เขาล่ะ
การออกแบบ: ส่วนบนเป็นผ้า Flyknit ถักทอแบบไร้รอยต่อ หุ้มเท้าเหมือนถุงเท้า มีสายรัดขนาดใหญ่สองเส้นพาดผ่านกลางเท้า สามารถปรับความกระชับได้ด้วยตีนตุ๊กแก พื้นรองเท้าเป็นดีไซน์แบบ Nike Free ที่มีร่องลึกคล้ายรูปดาวสามแฉกทั่วทั้งพื้น
วัสดุที่ใช้: ส่วนใหญ่เป็นผ้า Flyknit ที่ระบายอากาศได้ดี มีเสริมวัสดุสังเคราะห์ตรงปลายเท้าและส้นเท้าเพื่อความทนทาน พื้นรองเท้าเป็นโฟมที่ Nike พัฒนาขึ้นมา ให้ความยืดหยุ่นสูง
ขนาดและน้ำหนัก: น้ำหนักค่อนข้างเบา อยู่ที่ประมาณ 207 - 232 กรัม แล้วแต่ไซส์และเพศ ขนาดโดยรวมดูไม่ใหญ่เทอะทะ
สีที่มีให้เลือก: มีหลายสีให้เลือกอยู่นะคะ เท่าที่เห็นมีทั้งสีเรียบๆ อย่างดำ ขาว เทา และสีสันสดใสขึ้นมาหน่อย บางสีนี่ใส่เดินเที่ยววันสงกรานต์ได้สบายๆ เลย! (แต่ระวังเปียกนะ ผ้ามันบาง 555)
ความสะดวกในการพกพา: เนื่องจากน้ำหนักเบาและยืดหยุ่น พับเก็บใส่กระเป๋าไปออกกำลังกายที่ยิม หรือพกไปเที่ยวต่างจังหวัดก็สะดวกดีค่ะ
อุปกรณ์เสริมในกล่อง: ส่วนใหญ่มีแค่ตัวรองเท้ากับกล่องค่ะ อาจจะมีคู่มือเล็กๆ น้อยๆ มาให้บ้าง
3. ประสบการณ์ในการใช้งานฟังก์ชันหลัก: วิ่งแล้วรู้สึก "ฟรี" แค่ไหน?
มาถึงหัวใจหลักของการรีวิวรองเท้าวิ่ง นั่นก็คือการเอาไปวิ่งจริงนั่นแหละค่ะ!
ฟิลลิ่งแรกที่ได้ลองใส่คือ นุ่มและกระชับ มาก ด้วยความที่เป็นผ้า Flyknit มันจะโอบรับรูปเท้าเราได้ดีเลยค่ะ แต่ถ้าใครหน้าเท้ากว้างมากๆ อาจจะรู้สึกอึดอัดนิดนึงในช่วงแรก
พอเอาไปวิ่งจริงๆ สิ่งที่สัมผัสได้ชัดเจนคือ ความยืดหยุ่นของพื้น พื้นรองเท้ามันโค้งงอไปตามการเคลื่อนไหวของเท้าได้ดีมากๆ ทำให้รู้สึกเหมือนวิ่งเท้าเปล่ามากขึ้นจริงๆ ค่ะ
แต่ๆๆๆ ด้วยความที่เป็นรองเท้าสายฟรี ที่เน้นฟิลลิ่งธรรมชาติ การซัพพอร์ตแรงกระแทกอาจจะไม่เยอะเท่ารองเท้าวิ่งที่พื้นหนาๆ นุ่มๆ คือถ้าวิ่งระยะสั้นๆ หรือวิ่งบนพื้นเรียบๆ ไม่มีปัญหาเลยค่ะ สบายดี แต่ถ้าลองเอาไปวิ่งระยะไกลๆ หรือวิ่งบนพื้นผิวที่ไม่สม่ำเสมอ อาจจะรู้สึกว่าน่องและเท้าทำงานหนักขึ้น มือใหม่ที่เพิ่งหัดวิ่ง หรือคนที่วิ่งลงส้นหนักๆ อาจจะต้องค่อยๆ ปรับตัวค่ะ
การระบายอากาศ: อันนี้ต้องชม Flyknit เลยค่ะ ระบายอากาศดีมาก วิ่งแล้วไม่รู้สึกอบเท้า เหมาะกับอากาศร้อนชื้นแบบบ้านเราในช่วงเทศกาลต่างๆ ที่เหงื่อออกง่าย
4. ประสบการณ์การใช้งาน & ความง่ายในการใช้: ใส่สบายเหมือนถุงเท้า แต่ต้องปรับเรื่องความกระชับหน่อยนะ
เรื่องความง่ายในการใช้งาน ถือว่าค่อนข้างง่ายค่ะ แค่สวมเท้าเข้าไปแล้วปรับสายรัดให้กระชับตามที่เราต้องการ ไม่มีปัญหาเรื่องเชือกหลุดระหว่างวิ่งให้กวนใจ
ความสบายเวลาสวมใส่: จุดเด่นจริงๆ คือความสบายของผ้า Flyknit มันนุ่ม ยืดหยุ่น ไม่ระคายเคืองผิวเท้า บางคนถึงกับบอกว่าสบายพอๆ กับใส่ถุงเท้าเลยทีเดียว
แต่เรื่องความกระชับตรงสายรัด บางทีอาจจะต้องลองปรับดูหลายๆ ครั้งกว่าจะเจอระดับที่พอดี เพราะถ้าแน่นไปก็อาจจะรู้สึกกดเท้า ถ้าหลวมไปก็ไม่กระชับพอ
เสียงดังมั้ย: เวลาวิ่งบนพื้นแข็งๆ อาจจะมีเสียงพื้นรองเท้าสัมผัสพื้นบ้างตามปกติค่ะ ไม่ได้ดังเป็นพิเศษอะไร
ร้อนเร็วมั้ย: จากที่ลองใช้วิ่งในสภาพอากาศเมืองไทย ถือว่าระบายอากาศได้ดี ไม่ร้อนอบเท้าค่ะ
5. แบตเตอรี่ / พลังงาน / ความคุ้มค่าในระยะยาว: ทนทานแค่ไหนกับพื้นเมืองไทย?
มาถึงเรื่องความทนทาน ซึ่งเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อรองเท้าคู่ใหม่
พื้นรองเท้า Nike Free รุ่นนี้ทำจากโฟมที่มีร่องลึก แม้จะมีการเสริมยางบางส่วนตรงจุดที่สึกหรอง่าย แต่โดยรวมแล้วความทนทานอาจจะไม่เท่ารองเท้าวิ่งที่ใช้พื้นยางเต็มแผ่น โดยเฉพาะถ้าเอาไปวิ่งบนพื้นคอนกรีต พื้นยางมะตอย หรือพื้นผิวขรุขระในเมืองไทยบ่อยๆ พื้นอาจจะสึกเร็วกว่าที่ควรค่ะ
ส่วนผ้า Flyknit ด้านบน ค่อนข้างทนทาน แต่ก็มีโอกาสที่จะเป็นขุย หรือขาดได้ถ้าเกี่ยวโดนของมีคม
ความคุ้มค่า: ถ้าได้มาราคาเต็มตอนเปิดตัว อาจจะรู้สึกว่าราคาสูงไปหน่อยเมื่อเทียบกับความทนทานของพื้น แต่ถ้าเจอช่วงที่ลดราคาหนักๆ หรือซื้อตอนเป็นรุ่นเก่าแล้วราคาลงมาเยอะๆ ก็ถือว่าคุ้มค่าสำหรับรองเท้าที่ให้ฟิลลิ่งการวิ่งแบบธรรมชาติและดีไซน์ที่ทันสมัยค่ะ
6. ข้อดี-ข้อเสีย: สรุปให้ฟังแบบชัดๆ!
เอาล่ะ สรุปข้อดีข้อเสียของ Nike Free RN Motion Flyknit 2017 แบบสั้นๆ เข้าใจง่าย
ข้อดี:
- นุ่มสบายเหมือนใส่ถุงเท้า: ผ้า Flyknit คือดีงาม สบายเท้ามากๆ
- ยืดหยุ่นสูง เคลื่อนไหวเป็นธรรมชาติ: พื้น Free ให้ฟิลลิ่งเหมือนวิ่งเท้าเปล่า
- ระบายอากาศดีเยี่ยม: เหมาะกับอากาศร้อนๆ บ้านเรา
- น้ำหนักเบา: วิ่งแล้วไม่รู้สึกหนักเท้า
- ดีไซน์ทันสมัย ไร้เชือกเก๋ๆ: ใส่เดินเล่นก็ดูดี
ข้อเสีย:
- ซัพพอร์ตแรงกระแทกน้อย: ไม่เหมาะกับวิ่งระยะไกล หรือคนที่ต้องการรองรับแรงกระแทกสูงๆ
- ความทนทานของพื้นอาจจะไม่สูงมาก: โดยเฉพาะบนพื้นผิวแข็งๆ ของเมืองไทย
- สายรัดอาจจะต้องปรับบ่อยๆ: บางคนอาจจะไม่ชอบระบบปรับความกระชับแบบนี้
- ไม่เหมาะกับคนหน้าเท้ากว้างมากๆ: Flyknit ค่อนข้างกระชับ
- ราคาตอนเปิดตัวค่อนข้างสูง: อาจจะต้องรอช่วงโปรโมชั่น
7. เหมาะกับใคร & คำแนะนำในการซื้อ: ถ้าใช่...ก็จัดเลย!
รองเท้าคู่นี้เหมาะกับใครบ้าง?
- นักวิ่งที่ชอบฟิลลิ่งแบบธรรมชาติ หรือ Minimalist Runner: ถ้าชอบรองเท้าที่ให้ความรู้สึกเหมือนวิ่งเท้าเปล่า เน้นความยืดหยุ่นและการเคลื่อนไหวของเท้า รุ่นนี้ตอบโจทย์
- คนที่หารองเท้าไว้ใส่วิ่งระยะสั้น: เหมาะกับการวิ่งไม่เกิน 5-10 กม. หรือใส่วิ่งเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อเท้า
- คนที่หารองเท้าใส่ยิม หรือออกกำลังกายทั่วไป: ด้วยความเบาและยืดหยุ่น ใส่เข้ายิม ยกเวท หรือทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ดี
- คนที่ชอบดีไซน์ทันสมัย ใส่เดินเล่นได้: ด้วยความที่เป็น Flyknit และไร้เชือก ใส่เดินเที่ยวในวันสบายๆ ก็ดูดีไม่เหมือนรองเท้าวิ่งจ๋าๆ
ควรซื้อเลยไหม? ถ้าคุณเป็นคนที่เข้าข่ายข้างบน แล้วเจอราคาดีๆ โดยเฉพาะช่วงที่จัดโปรโมชั่นลดราคาตามเทศกาลต่างๆ เช่น 11.11, 12.12 หรือช่วงปีใหม่ไทย (ที่มักจะมีมหกรรมลดราคา) ก็ถือว่าน่าซื้อเก็บไว้เลยค่ะ แต่ถ้ารีบใช้มากๆ แล้วหาราคาดีๆ ไม่ได้ อาจจะต้องลองดูรุ่นอื่นๆ ในตระกูล Free ที่ใหม่กว่า หรือมองหารองเท้าแนวเดียวกันจากแบรนด์อื่นดูก่อน
8. เปรียบเทียบกับสินค้าคล้ายๆ กัน: ฟรีเหมือนกัน แต่ต่างกันยังไง?
ในตระกูล Nike Free ด้วยกันเอง ก็มีหลายรุ่นที่คล้ายๆ กัน อย่าง Free RN Flyknit 2017 (ที่ไม่มีคำว่า Motion) จะมีความแตกต่างกันเล็กน้อยเรื่องความนุ่มและ Drop (ความต่างของความสูงส้นเท้ากับปลายเท้า) ส่วนรุ่นอื่นๆ ที่ใหม่กว่าก็อาจจะมีการปรับปรุงเรื่องเทคโนโลยีพื้นรองเท้าหรือ Flyknit ให้ดีขึ้น
ถ้าเทียบกับแบรนด์อื่นที่ทำรองเท้าแนว Minimalist หรือ Flexible Sole ก็มีหลายยี่ห้อ เช่น Altra ที่เน้น Zero Drop (พื้นเรียบเสมอกันทั้งหน้าเท้าและส้นเท้า) และหน้าเท้ากว้าง ซึ่งจะให้ฟิลลิ่งที่แตกต่างออกไป
9. บริการหลังการขายและช่องทางการซื้อ: จะซื้อที่ไหนดีนะ?
สำหรับ Nike Free RN Motion Flyknit 2017 เป็นรุ่นที่ออกมาตั้งแต่ปี 2017 แล้ว ดังนั้นในร้าน Nike Shop ทั่วไปอาจจะไม่มีวางขายแล้วค่ะ แต่ยังพอหาซื้อได้ตามช่องทางเหล่านี้:
- ร้านค้าออนไลน์: เช่น Lazada, Shopee, JD Central หรือเว็บไซต์ของตัวแทนจำหน่ายในไทย อาจจะต้องลองค้นหาดู
- ร้านที่ขายรองเท้า Sneaker หรือรองเท้าวิ่งโดยเฉพาะ: บางร้านอาจจะมีรุ่นเก่าๆ หายากๆ มาขาย
- กลุ่มซื้อขายรองเท้ามือสองในโซเชียลมีเดีย: อันนี้ต้องดูดีๆ ตรวจสอบประวัติผู้ขายและสภาพสินค้าให้ละเอียดนะคะ
โปรโมชั่น: ถ้าโชคดีเจอในช่วงลดราคาใหญ่ๆ อาจจะได้ราคาดีมากๆ เลยค่ะ ลองเช็คตามแอปช้อปปิ้งออนไลน์ช่วงเทศกาลสำคัญๆ
การรับประกัน: เนื่องจากเป็นรุ่นเก่า การรับประกันอาจจะไม่เหมือนตอนซื้อรุ่นใหม่ๆ จากช็อปโดยตรง ต้องสอบถามจากผู้ขายแต่ละรายค่ะ แต่ส่วนใหญ่ถ้าซื้อจากตัวแทนจำหน่ายที่น่าเชื่อถือ ก็อาจจะยังมีการรับประกันสินค้า หรือมีนโยบายการคืนสินค้าอยู่บ้าง
การจัดส่ง: ถ้าสั่งออนไลน์ ระยะเวลาจัดส่งก็ขึ้นอยู่กับร้านและบริษัทขนส่ง ส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลก็เร็วหน่อย ต่างจังหวัดอาจจะใช้เวลา 2-3 วันค่ะ
10. บทสรุปและคำแนะนำในการซื้อ: สรุปแล้วยังไงดี?
โดยรวมแล้ว Nike Free RN Motion Flyknit 2017 เป็นรองเท้าวิ่งที่น่าสนใจมากค่ะ ถ้าคุณเป็นคนที่...
- ชอบฟิลลิ่งการวิ่งแบบธรรมชาติ ชอบความยืดหยุ่นของพื้น
- หารองเท้าไว้วิ่งระยะสั้นๆ หรือใส่เข้ายิม
- ชอบความนุ่ม สบาย ระบายอากาศดีของผ้า Flyknit
- ชอบดีไซน์แบบไร้เชือก ดูทันสมัย ไม่เหมือนใคร
และถ้าเจอในราคาที่ถูกลงมาเยอะๆ จากตอนเปิดตัว (ซึ่งตอนนี้ก็เป็นแบบนั้น) แนะนำให้ซื้อเลยค่ะ! คุณจะได้รองเท้าที่ดีไซน์สวยงาม ใส่สบาย และช่วยให้คุณได้สัมผัสกับการวิ่งที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น
แต่ถ้าคุณเป็นคนที่...
- เน้นวิ่งระยะไกล วิ่งมาราธอน
- ต้องการการซัพพอร์ตแรงกระแทกสูงๆ
- มีปัญหาเรื่องการลงน้ำหนักเท้าที่ส้นเท้ามากๆ
- กังวลเรื่องความทนทานของพื้นรองเท้าที่จะสึกหรอบนพื้นผิวแข็งๆ
รุ่นนี้อาจจะยังไม่ตอบโจทย์ที่สุดค่ะ แนะนำให้ลองมองหารองเท้าวิ่งรุ่นอื่นที่มีการซัพพอร์ตมากกว่านี้ หรือเป็นรองเท้าสำหรับวิ่งระยะไกลโดยเฉพาะแทน
หวังว่ารีวิวฉบับบ้านๆ สไตล์ไทยๆ นี้ จะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจนะคะ! ถ้าใครเคยใส่รุ่นนี้แล้วมีความเห็นยังไง มาเม้นท์บอกกันหน่อยน้า อยากรู้ๆ!
วิดีโอที่เกี่ยวข้อง
แนะนำสำหรับคุณ
อัปเดตราคา Fujifilm X100F กล้องคอมแพคสุดคลาสสิก ปี 2024 ยังน่าใช้ไหม?
Toyota Alphard ราคาล่าสุด รถ MPV สุดหรู น่าซื้อหรือไม่?
ราคาเลนส์ Canon EF 135mm f/2L USM เลนส์ Portrait ในตำนาน ราคาเท่าไหร่?
Epson EB-W18 ราคาโปรเจคเตอร์ อัปเดตล่าสุด สเปกเหมาะกับงานแบบไหน?
ราคา สายไฟ NYY 16 อัปเดตล่าสุด ซื้อยกม้วนถูกกว่าไหม?
เที่ยวสิงคโปร์ใช้งบเท่าไหร่? อัปเดตค่าใช้จ่าย ที่พัก ตั๋วเครื่องบิน และแหล่งช้อปปิ้ง