รีวิวข้อสอบ TU-GET เตรียมตัวสอบ TU-GET ยังไงให้ได้คะแนนดี?


สวัสดีค่าทุกคนนน! วันนี้จะมาป้ายยา เอ้ย! ไม่ใช่ป้ายยา แต่จะมารีวิวของที่หลายคนกำลังเล็งๆ อยู่ แถมยังเป็นอุปสรรคชิ้นโบว์แดงของใครหลายๆ คนที่อยากจะก้าวเท้าเข้าไปเป็นลูกแม่โดม นั่นก็คือ ข้อสอบ TU-GET นั่นเอง! ได้ยินชื่อก็ขนลุกแล้วใช่มั้ยล่ะ? คะแนนน้อยก็ใจแป้ว คะแนนถึงก็โล่งเป็นปลิดทิ้ง วันนี้เราจะมาเจาะลึกข้อสอบนี้กันแบบถึงพริกถึงขิง พร้อมเทคนิคเด็ดๆ ที่จะทำให้คุณพิชิต TU-GET ได้คะแนนดีแบบที่คาดไม่ถึง! เตรียมตัวให้พร้อม แล้วไปดูกันเล้ยยย!
1. ภาพรวมน้อง TU-GET: มันคือใคร? มาจากไหน?
TU-GET ย่อมาจาก Thammasat University General English Test เป็นข้อสอบวัดระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ค่ะ หลักๆ คือใช้ยื่นเข้าเรียนต่อ ไม่ว่าจะเป็นภาคไทยหรือภาคอินเตอร์ ทั้งปริญญาตรี โท เอก ที่ธรรมศาสตร์นี่แหละ บางทีองค์กรข้างนอกก็อาจจะใช้ด้วยนะ
ข้อสอบ TU-GET มี 2 แบบนะเออ ต้องดูดีๆ ก่อนสมัครว่าคณะ/โครงการที่เราจะยื่นเขาใช้แบบไหน:
- TU-GET PBT (Paper-based Test): สอบบนกระดาษ มี 3 พาร์ท คะแนนเต็ม 1,000 คะแนน
- TU-GET CBT (Computer-based Test): สอบบนคอมพิวเตอร์ มี 4 พาร์ท คะแนนเต็ม 120 คะแนน
ช่วงราคาค่าสอบ: PBT ประมาณ 800 บาท, CBT ประมาณ 1,500 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงและมีค่าสมัครล่าช้า) ใครไหวแบบไหน ถนัดแบบไหนก็เลือกเอา แต่เช็กกับที่ที่เราจะยื่นก่อนนะว่าเขารับแบบไหน
จุดที่ทำให้หลายคนเหงื่อตก:
- คำศัพท์ยากระดับสิบ!
- แกรมม่าสุดปราบเซียน
- เวลาทำข้อสอบไม่เคยพอ!
2. ดีไซน์ & รูปลักษณ์ภายนอก (ของข้อสอบนะ ไม่ใช่คนคุมสอบ!)
ถ้าเป็น PBT ก็ฟีลข้อสอบกระดาษทั่วไปนี่แหละ มีเล่มข้อสอบกับกระดาษคำตอบให้ฝนๆ สิ่งที่ต้องเตรียมไปก็มี ดินสอ 2B ปากกา ยางลบ และบัตรประชาชน/พาสปอร์ต สนามสอบก็กระจายๆ กันไป ทั้งรังสิต ท่าพระจันทร์ ลำปาง พัทยา
ส่วน CBT อันนี้สอบบนคอมพิวเตอร์ค่ะ นั่งหน้าจอ จัดไปทั้ง Listening, Reading, Speaking, Writing สนามสอบหลักๆ จะอยู่ที่ธรรมศาสตร์ รังสิต สิ่งที่ต้องเตรียมไปก็น่าจะเป็นบัตรประชาชน/พาสปอร์ต (อาจจะมีอย่างอื่นอีก เช็กระเบียบดีๆ นะ)
บรรยากาศห้องสอบก็มาตรฐานสนามสอบทั่วไป แอร์เย็นบ้างไม่เย็นบ้าง เสียงเดิน เสียงกระแอม ไอ จาม ของคนข้างๆ ก็อาจจะมีบ้าง ถือเป็นสีสัน (มั้งนะ) แต่หลักๆ คือต้องมีสมาธิมากๆ ค่ะ! การแต่งกายก็ชุดสุภาพ หรือชุดนักเรียน/นักศึกษา (ถ้ายังเป็นอยู่) นะคะ
3. ประสิทธิภาพหลัก: แต่ละพาร์ทโหดแค่ไหน?
มาดูกันทีละพาร์ทเลยว่าน้อง TU-GET เขาจะมาไม้ไหนบ้าง:
สำหรับ PBT (คะแนนเต็ม 1000):
- Structure (250 คะแนน): วัดแกรมม่าเน้นๆ มีทั้ง Error Identification (หาจุดผิด) และ Sentence Completion (เติมคำให้สมบูรณ์) อันนี้ต้องแม่นเรื่องโครงสร้างประโยค Tense ต่างๆ Participle Gerund Infinitive สารพัดสิ่ง
- Vocabulary (250 คะแนน): วัดคลังศัพท์ มีทั้ง Cloze Test (เติมคำในช่องว่าง) และ Synonyms (หาคำเหมือน/ใกล้เคียง) จุดโหดคือตัวเลือกคำศัพท์จะใกล้เคียงกันมากกกก บางทีรู้ความหมายแต่เลือกใช้ผิดบริบทก็มีนะ
- Reading (500 คะแนน): พาร์ทเก็บคะแนน (ถ้าทำทันนะ!) มีบทความให้อ่านหลายเรื่อง หลายแนว ทั้งวิชาการ สังคม ทั่วไป แล้วก็ตอบคำถามวัดความเข้าใจ จำนวนข้อเยอะ คะแนนเยอะ แต่เวลาก็น้อยตามไปด้วย
สำหรับ CBT (คะแนนเต็ม 120):
- Reading (30 คะแนน): อ่านบทความหลากหลาย ตอบคำถาม
- Listening (30 คะแนน): ฟังบทสนทนา บทพูด แล้วตอบคำถาม สำเนียงก็อาจจะมีหลากหลาย ต้องตั้งใจฟังดีๆ
- Speaking (30 คะแนน): พูดใส่ไมโครโฟน! มีหัวข้อให้เตรียมตัวแป๊บหนึ่งแล้วก็พูด ใครไม่คุ้นกับการพูดกับคอมฯ ต้องซ้อมเยอะๆ
- Writing (30 คะแนน): เขียน Essay เชิงวิชาการตามหัวข้อที่กำหนด ต้องมี Structure การเขียนที่ดี และใช้ศัพท์ แกรมม่าที่เหมาะสมกับ Academic Writing
ไม่ว่าจะ PBT หรือ CBT แต่ละพาร์ทก็มีจุดท้าทายของตัวเอง การฝึกทำข้อสอบเก่าเยอะๆ จะช่วยให้คุ้นเคยกับแนวข้อสอบและบริหารเวลาได้ดีขึ้น
4. ประสบการณ์การใช้งาน & ความง่ายในการใช้ (ข้อสอบใช้ง่ายมั้ยเนี่ย?)
ถามว่าข้อสอบมัน "ใช้ง่าย" ไหม... เอาเป็นว่ามันถูกออกแบบมาเพื่อ "วัด" เราอย่างเต็มที่แล้วกันค่ะ! 🤣
ความง่ายในการใช้สำหรับผู้สอบก็น่าจะอยู่ที่ความคุ้นเคยกับรูปแบบข้อสอบ และความพร้อมของเราเอง ถ้าเป็น PBT ก็คือการฝนกระดาษคำตอบทั่วไป ซึ่งอาจจะมีปัญหาเรื่องฝนไม่เข้มพอ หรือฝนผิดช่องได้ ถ้าไม่รอบคอบ
ส่วน CBT การทำบนคอมพิวเตอร์ก็มีข้อดีคือไม่ต้องกลัวเรื่องฝนคำตอบ แต่ก็ต้องมาดูเรื่องความคุ้นเคยกับระบบ การพิมพ์ (สำหรับพาร์ท Writing) และการพูดใส่ไมโครโฟน (สำหรับพาร์ท Speaking)
เรื่องภาษาที่ใช้ในข้อสอบ ส่วนใหญ่ก็เป็น Academic English ที่เจอได้ทั่วไปในตำราเรียน หรือบทความวิชาการ อาจจะมีศัพท์เฉพาะทางบ้างในบางบทความ แกรมม่าก็เน้นตามหลักเป๊ะๆ ใครที่คุ้นกับภาษาพูดมากๆ อาจจะต้องปรับตัวนิดหน่อย
5. แบตเตอรี่ / พลังงาน / ความคุ้มค่าในระยะยาว (คะแนนอยู่ได้นานแค่ไหน? คุ้มค่ามั้ย?)
น้อง TU-GET เขาไม่ได้ใช้แบตเตอรี่ค่ะ แต่ใช้พลังงานสมองและพลังใจของเราล้วนๆ! 😂
คะแนน TU-GET มีอายุ 2 ปี นับจากวันที่สอบ ดังนั้นวางแผนการสอบดีๆ นะคะ อย่าปล่อยให้คะแนนหมดอายุก่อนได้ใช้
ค่าใช้จ่ายในการสอบก็ตามที่บอกไป PBT ประมาณ 800 บาท, CBT ประมาณ 1,500 บาท ถ้าสอบครั้งเดียวผ่านฉลุยก็ถือว่าคุ้มมาก แต่ถ้าต้องสอบหลายรอบ ค่าใช้จ่ายก็บานปลายได้เหมือนกัน
ความคุ้มค่าในระยะยาว นอกจากใช้ยื่นเข้าธรรมศาสตร์แล้ว การเตรียมตัวสอบ TU-GET ก็ถือเป็นการทบทวนและพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเชิงวิชาการของเราด้วย แกรมม่าแน่นขึ้น ศัพท์เป๊ะขึ้น อ่านจับใจความเก่งขึ้น ซึ่งทักษะเหล่านี้เอาไปต่อยอดในการเรียน หรือการทำงานได้สบายๆ เลยค่ะ
6. สรุปข้อดีข้อเสีย (แบบไม่อวย... เท่าไหร่)
ข้อดี:
- เป็นที่ยอมรับในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ใช้ยื่นเข้าได้หลากหลายคณะ/โครงการ
- PBT ราคาเป็นมิตร (กว่าข้อสอบอินเตอร์บางตัว)
- ข้อสอบออกแบบตามมาตรฐานสากล
- การเตรียมตัวช่วยปูพื้นฐาน Academic English ได้ดี
- มีสอบเกือบทุกเดือน (มีโอกาสแก้ตัวได้เรื่อยๆ 😅)
ข้อเสีย:
- ค่าสอบอาจจะสูงสำหรับบางคน โดยเฉพาะถ้าต้องสอบหลายรอบ
- ความยากของข้อสอบที่เน้นศัพท์และแกรมม่าค่อนข้างสูง
- เวลาทำข้อสอบค่อนข้างจำกัด ต้องบริหารเวลาให้ดี
- คะแนนมีอายุจำกัดแค่ 2 ปี
- CBT มีแค่ที่รังสิต อาจจะไม่สะดวกสำหรับคนต่างจังหวัด
7. เหมาะกับใคร & คำแนะนำในการซื้อ (หรือควรเรียกว่า 'สมัครสอบ')
น้อง TU-GET เหมาะกับใคร? แน่นอนว่าอันดับหนึ่งคือคนที่อยากเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไม่ว่าจะระดับไหน หรือคณะ/โครงการอะไรก็ตามที่กำหนดให้ใช้คะแนน TU-GET
เหมาะกับการใช้งานแบบไหน? เหมาะกับการใช้เป็นใบเบิกทางเข้าสู่รั้วแม่โดมค่ะ
ควรซื้อ (สมัครสอบ) เลยไหม? อันนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของคุณค่ะ ถ้าพอมีพื้นฐานภาษาอังกฤษอยู่บ้าง แล้วมีเวลาเตรียมตัวสัก 1-3 เดือน ก็ลองสมัครสอบรอบที่ใกล้ที่สุดดูได้ แต่ถ้ายังรู้สึกว่าพื้นฐานไม่แน่นเลย แนะนำให้เริ่มจากการปูพื้นฐานก่อน แล้วค่อยวางแผนสมัครสอบทีหลัง
คำแนะนำในการเตรียมตัว:
- รู้เขารู้เรา: ศึกษาโครงสร้างข้อสอบแต่ละพาร์ทให้ละเอียด
- ฝึกทำโจทย์: หาข้อสอบเก่า หรือหนังสือแนวข้อสอบมาฝึกทำเยอะๆ โดยเฉพาะแบบจับเวลา
- เน้นจุดอ่อน: ถ้าไม่แม่นแกรมม่า ก็ลุยแกรมม่า ถ้าศัพท์น้อย ก็ท่องศัพท์
- บริหารเวลา: สำคัญมากๆ ในวันสอบจริง
- พักผ่อนให้เพียงพอ: สมองเฟรชๆ พร้อมลุย!
8. เปรียบเทียบกับข้อสอบคล้ายๆ กัน (มวยถูกคู่ไหม?)
ข้อสอบวัดระดับภาษาอังกฤษที่ใช้ยื่นเข้ามหาวิทยาลัยในไทยก็มีหลายตัวค่ะ ที่เป็นคู่แข่งตลอดกาลของ TU-GET ก็คือ CU-TEP ของจุฬาฯ นอกจากนี้ยังมีข้อสอบมาตรฐานสากลอย่าง TOEFL และ IELTS อีกด้วย
TU-GET vs CU-TEP: ทั้งคู่เป็นข้อสอบของมหาวิทยาลัยไทย โครงสร้างคล้ายๆ กัน (PBT vs Paper-based, CBT vs Computer-based) แต่รายละเอียดเนื้อหาอาจจะต่างกันบ้าง บางคณะ/มหาวิทยาลัยรับทั้งคู่ บางที่ก็ระบุเลยว่าต้องใช้ตัวไหน ส่วนใหญ่คนที่จะเข้าธรรมศาสตร์ก็สอบ TU-GET คนจะเข้าจุฬาก็สอบ CU-TEP แต่คะแนน TU-GET ก็ใช้ยื่นจุฬาฯ ได้บางที่ และคะแนน CU-TEP ก็ใช้ยื่นธรรมศาสตร์ได้บางที่เช่นกัน ต้องเช็กระเบียบการดีๆ เลยค่ะ
TU-GET vs TOEFL/IELTS: TOEFL กับ IELTS เป็นข้อสอบที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ใช้ยื่นเข้ามหาวิทยาลัยได้ทั่วโลก รวมถึงภาคอินเตอร์ในไทยด้วย ข้อสอบจะมีความแตกต่างกับ TU-GET/CU-TEP อยู่บ้าง เช่น TOEFL iBT และ IELTS จะมีพาร์ท Speaking ที่เป็นการพูดจริงๆ จังๆ (ไม่ใช่แค่เลือกตอบ) ค่าสอบ TOEFL/IELTS ก็จะสูงกว่า TU-GET พอสมควร
คุ้มค่าที่จะสอบตัวไหน? ถ้าตั้งใจเข้าธรรมศาสตร์เป็นหลัก และคณะที่อยากเข้าใช้ TU-GET ก็มุ่งมั่นกับ TU-GET ไปเลยค่ะ แต่ถ้ามีแผนจะยื่นที่อื่นด้วย หรืออยากได้คะแนนที่ใช้ได้กว้างกว่า ก็อาจจะพิจารณา TOEFL หรือ IELTS แต่ต้องเตรียมตัวให้หนักขึ้นและงบเยอะขึ้นนะ
9. บริการหลังการขายและช่องทางการซื้อ (สมัครสอบที่ไหนดี?)
น้อง TU-GET ไม่ได้มีบริการหลังการขายแบบซ่อมบำรุงนะคะ แต่มีเรื่องการสมัครสอบและตรวจผลค่ะ
ช่องทางการสมัคร: ส่วนใหญ่จะสมัครผ่านเว็บไซต์ของสถาบันภาษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ค่ะ มีทั้งเว็บสำหรับ PBT และ CBT แยกกัน สมัครออนไลน์แล้วก็พิมพ์ใบไปชำระเงินตามช่องทางที่เขากำหนด (ส่วนใหญ่เป็นธนาคารกสิกรไทย)
การรับประกัน: ไม่มีค่ะ จ่ายเงินแล้วคือจ่ายเลย ไม่คืนทุกกรณี ยกเว้นสนามสอบมีปัญหาจริงๆ
โปรโมชั่น: ไม่มีโปรโมชั่นแบบลด แลก แจก แถม เหมือนซื้อของทั่วไปค่ะ แต่จะมีช่วงที่เรียกว่าสมัครล่าช้า ซึ่งค่าสมัครจะแพงขึ้น เพราะฉะนั้นสมัครช่วงปกติจะดีที่สุดค่ะ
การตรวจผล: ตรวจผลทางเว็บไซต์ได้เลยค่ะ PBT จะประกาศผลเร็วกว่า CBT หลังจากนั้นสถาบันภาษาจะจัดส่งใบรายงานผลอย่างเป็นทางการให้
การติดต่อสอบถาม: ถ้ามีปัญหาหรือข้อสงสัย สามารถติดต่อสถาบันภาษา มธ. ได้โดยตรงตามเบอร์โทรศัพท์หรืออีเมลที่ระบุไว้ในเว็บไซต์โครงการ TU-GET ค่ะ
10. บทสรุปและคำแนะนำในการซื้อ (ตัดสินใจเลยดีไหม?)
ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วยังลังเลว่าจะเอายังไงกับน้อง TU-GET ดี ขอสรุปให้ฟันธงไปเลยว่า:
ถ้าคุณมีเป้าหมายคือการเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคณะ/โครงการที่คุณสนใจต้องการคะแนน TU-GET เป็นหลัก แนะนำให้เตรียมตัวแล้วลุยเลยค่ะ!
สำหรับ ผู้เริ่มต้นที่พื้นฐานยังไม่แน่น แนะนำให้เริ่มจากการปูพื้นฐานภาษาอังกฤษ ทั้งแกรมม่า คำศัพท์ และการอ่านจับใจความให้แน่นก่อน อาจจะลองหาหนังสือเตรียมสอบ TU-GET ที่มีเฉลยอธิบายละเอียดๆ มาลองทำดู หรือถ้าไหวก็ลองหาคอร์สเรียนที่เน้นการเตรียมสอบ TU-GET โดยเฉพาะก็ได้ค่ะ
สำหรับ คนที่พอมีพื้นฐานอยู่แล้ว เน้นฝึกทำข้อสอบเก่าแบบจับเวลาเลยค่ะ เพื่อให้ชินกับเวลาและแนวข้อสอบ พยายามวิเคราะห์ข้อผิดพลาดของตัวเองเพื่อจะได้แก้ไขให้ตรงจุด
ไม่แนะนำ ให้ไปสอบแบบไม่เตรียมตัว หรือเตรียมตัวแบบสะเปะสะปะนะคะ เพราะนอกจากจะเสียเงินฟรีแล้ว ยังอาจจะทำให้เสียกำลังใจด้วย
จำไว้ว่า TU-GET ไม่ใช่ข้อสอบวัดว่าใครเก่งภาษาอังกฤษที่สุดในโลก แต่เป็นข้อสอบที่วัดว่าคุณมีความพร้อมทางภาษาอังกฤษในระดับที่จะสามารถเรียนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้หรือไม่ การเตรียมตัวที่ดีคือหัวใจสำคัญค่ะ!
หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์นะคะ ขอให้ทุกคนที่กำลังจะสอบ TU-GET ได้คะแนนตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ค่ะ! สู้ๆ ค่า! 💪✨
วิดีโอที่เกี่ยวข้อง
แนะนำสำหรับคุณ
จัดกระดูก คืออะไร? รีวิว ประสบการณ์ และข้อควรรู้
รวมร้านหมูจุ่ม เชียงใหม่ อร่อยเด็ด บรรยากาศดี
รีวิว Beauty Plus Clinic กำจัดขน: เลเซอร์ขนที่นี่ดีไหม ราคาเป็นอย่างไร?
รีวิวหนัง "ฮาวทูทิ้ง..ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ" ประทับใจแค่ไหน?
รีวิว Adidas Edge Lux Clima: รองเท้าวิ่ง Adidas ระบายอากาศดี น่าใส่ไหม?
รีวิว Hisense 55B7700UW ทีวี 55 นิ้ว ภาพสวย คุ้มราคาไหม?