รีวิว Land Rover Freelander TD4: รถยนต์ SUV รุ่นคลาสสิก ยังน่าใช้อยู่ไหม?


โอ้โหหห... พูดถึงรถยนต์ SUV รุ่นคลาสสิกเนี่ย ชื่อแรกๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัว หลายคนต้องมีชื่อ Land Rover Freelander โผล่มาแน่ๆ โดยเฉพาะรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล TD4 เนี่ย ตัวตึงยุคหนึ่งเลยนะ! ยิ่งเวลาเห็นคันเขียวๆ จอดอยู่ตามท้องถนน หรือไปลุยๆ เบาๆ นี่มันได้ฟีลมาก แต่คำถามที่ค้างคาใจหลายคนคือ... มาถึงปีนี้แล้ว เจ้า Freelander TD4 เก๋าทรงนี้เนี่ย ยังน่าใช้อยู่ไหม? หรือว่าต้องเตรียมเงินค่าซ่อมไว้มากกว่าค่าน้ำมัน? วันนี้เราจะมาแกะรอยรีวิวกันแบบหมดเปลือก สไตล์บ้านๆ เข้าถึงง่าย เหมือนเม้าท์กับเพื่อนคอรถ ที่สำคัญคือตรงไปตรงมา ไม่มีอวย!!
1. ภาพรวม Land Rover Freelander TD4: รู้จักก่อนรักจริง
ก่อนอื่น มาทำความรู้จักเจ้านี่กันแบบรวบรัดตัดตอนให้เห็นภาพก่อนว่าเป็นใคร มาจากไหน:
แบรนด์: Land Rover (แน่นอนอยู่แล้ววว)
รุ่น: Freelander TD4 (เจาะจงที่เครื่องดีเซล BMW ตัวดัง)
ปีที่วางขาย (รุ่น TD4 Mk1): ส่วนใหญ่ที่เราเห็นวิ่งๆ กันเนี่ย จะเป็นโฉมแรก (Mk1) ที่ใส่เครื่อง TD4 เข้ามาช่วงปี 2000 - 2006 แล้วมีไมเนอร์เชนจ์ให้หน้าตาดูทันสมัยขึ้นนิดหน่อยปี 2003
ช่วงราคาขาย (มือสองในไทย): โอโห้... อันนี้แล้วแต่สภาพจัดๆ เลย มีตั้งแต่หลักหมื่นปลายๆ ยันสองสามแสน หรือบางคันสวยกริ๊บๆ อาจทะลุไปสี่ห้าแสนก็มี
ตำแหน่งการตลาดในยุคนั้น: เค้าเกิดมาเป็นน้องเล็กสุดของบ้าน Land Rover อารมณ์แบบ SUV พรีเมียมไซส์คอมแพ็กต์เน้นใช้งานในเมืองได้ดี แต่ก็มีดีพอตัวเวลาออกไปลุยเบาๆ ต่างจังหวัด เหมาะกับคนอยากได้รถหรูหน่อยๆ มีตรา Land Rover ไว้เชิดหน้าชูตา แต่ยังไงก็ได้ที่ขับง่ายกว่าพี่ใหญ่ Discovery หรือ Range Rover
จุดเด่นคร่าวๆ ที่ทำให้คนยังมองหา:
- หน้าตาคลาสสิกไม่ซ้ำใคร: เห็นแล้วรู้เลยว่า Land Rover! ดีไซน์เหลี่ยมๆ บึกบึน ได้ฟีลรถผู้ดีอังกฤษที่พร้อมลุย
- เครื่องดีเซล TD4 ที่ขึ้นชื่อ: แรงบิดดี ขับทางไกลสบายหายห่วง (ถ้าเครื่องสมบูรณ์นะ!)
- ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ: แม้จะไม่มีเกียร์ Low หรือ Diff Lock แบบรุ่นพี่ แต่ระบบ 4x4 ของเค้า (IRD & VCU) ก็พาไปในที่สมบุกสมบันได้ดีกว่า SUV ญี่ปุ่นยุคเดียวกันเยอะ มีระบบช่วยลงทางชัน (HDC) ด้วย
- นั่งขับสบาย ทัศนวิสัยดี: เบาะนั่งทรงสูง ได้มุมมองแบบ "Command Position" ขับแล้วโปร่งๆ
2. ดีไซน์ & รูปลักษณ์ภายนอก: เก๋าแต่ไม่แก่?
ต้องยอมรับว่าดีไซน์ของ Freelander Mk1 เนี่ย มันมีความเป็นเอกลักษณ์สูงมาก! ไม่กลมมนเหมือน SUV ญี่ปุ่นยุคนั้นๆ ออกแนวเหลี่ยมๆ คมๆ หน่อย โดยเฉพาะโฉมก่อนไมเนอร์เชนจ์ (ปี 2000-2003) นี่คือคลาสสิกสุดๆ พอไมเนอร์เชนจ์ปี 2003 ก็เปลี่ยนไฟหน้า ไฟท้าย กันชนหน้า-หลัง ให้ดูทันสมัยขึ้นนิดนึง
การออกแบบ: เส้นสายเรียบๆ เน้นฟังก์ชัน แต่ดูแข็งแรง ท้ายมีเอกลักษณ์คือประตูท้ายเปิดออกแบบด้านข้าง พร้อมกระจกที่เลื่อนลงได้ มีให้เลือกทั้งตัวถัง 3 ประตู (หลังคาแข็ง/อ่อน) และ 5 ประตู
วัสดุที่ใช้: งานประกอบภายนอกดูแข็งแรงตามสไตล์ Land Rover
ขนาดและน้ำหนัก: เป็น SUV คอมแพ็กต์ แต่ก็ไม่ได้เล็กจิ๋ว มีน้ำหนักพอตัว
สีที่มีให้เลือก: ก็มีสีพื้นฐานทั่วไป แต่ที่ฮิตและดูคลาสสิกในไทยคือสีเขียว
ความสะดวกในการพกพา/จัดวาง: ไม่ใช่รถเล็กที่จอดง่ายเท่ารถเก๋งนะ ขนาดก็ประมาณ SUV ทั่วไปยุคนั้น ต้องหาที่จอดที่เหมาะสมในบ้านหรือที่ทำงานหน่อย
3. ประสบการณ์ใช้งานฟังก์ชันหลัก: ดีเซลแรงบิดดี ลุยได้จริงแค่ไหน?
มาถึงเรื่องการขับขี่กันบ้าง หัวใจหลักของรุ่น TD4 ก็คือเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ของ BMW นี่แหละ (รหัส M47) พละกำลังอาจจะไม่หวือหวามาก (ประมาณ 110-112 แรงม้า) แต่จุดเด่นคือ แรงบิดมาตั้งแต่รอบต่ำ (260 นิวตันเมตร ที่ 1750 รอบ/นาที) ทำให้ขับในเมือง ซอกแซก หรือขึ้นเนินขึ้นเขาได้สบายๆ ไม่อืดอาด
อัตราเร่ง: 0-100 กม./ชม. ก็ราวๆ 13-15 วินาที ไม่ได้ปรู๊ดปร๊าดแบบรถสมัยใหม่นะ ขับเรื่อยๆ สบายๆ
การขับขี่ในเมือง: ขนาดไม่ใหญ่มาก คล่องตัวพอสมควร แต่พวงมาลัยอาจจะไม่ได้เบาหวิวแบบรถซิตี้คาร์
การขับขี่ทางไกล: ด้วยแรงบิดของเครื่องดีเซล ทำให้ขับทางไกลสบาย รอบเครื่องไม่สูงนักที่ความเร็วเดินทาง
การประหยัดน้ำมัน: อันนี้ต้องทำใจนิดนึง ตัวเลขเคลมโรงงานกับใช้งานจริงอาจจะต่างกันเยอะ ในเมืองนี่ซดเอาเรื่องอยู่ (บางรีวิวบอกถึง 17 ลิตร/100 กม. หรือประมาณ 5-6 กม./ลิตร) ขับนอกเมืองดีขึ้นมาหน่อย (อาจได้ถึง 10 กว่ากม./ลิตร) เทียบกับรถดีเซลสมัยใหม่ ถือว่าไม่ประหยัดเท่าไหร่
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ: คือจุดเด่นที่เหนือกว่า SUV ญี่ปุ่นร่วมยุค แม้ไม่มีเกียร์เตี้ยหรือ Diff Lock แต่ระบบ IRD กับ VCU ก็ทำงานร่วมกันได้ดี ยามที่ล้อใดล้อหนึ่งเริ่มเสียการยึดเกาะ ระบบจะกระจายกำลังไปยังล้ออื่นที่ยังเกาะถนนอยู่ ทำให้ยังไปต่อได้ เหมาะกับการเอาไปลุยเส้นทางที่ไม่โหดมากนัก เช่น ถนนลูกรัง ทางดินโคลนเบาๆ ขึ้นเขาที่ไม่ชันจัดๆ ใครชอบเข้าป่า เข้าสวน หรือเจอถนนเปียกลื่นบ่อยๆ ระบบนี้ช่วยได้เยอะ
ระบบช่วยลงทางชัน (HDC): อันนี้เจ๋งจริง! เวลาเจอทางลงเขาชันๆ กดปุ่มนี้ รถจะค่อยๆ คลานลงไปเอง โดยที่เราแค่ควบคุมพวงมาลัยอย่างเดียว สะดวกและปลอดภัยมากๆ สำหรับมือใหม่หัดลุย
4. ประสบการณ์การใช้งาน & ความง่ายในการใช้: รถยุคเก่า ฟังก์ชันตามวัย
ความง่ายในการใช้งาน Freelander TD4 เนี่ย ถ้าเทียบกับรถยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยจอทัชสกรีนและปุ่มน้อยๆ ก็ต้องบอกว่าคนละเรื่องกันเลย รถรุ่นนี้ยังเป็นรถยุคเก่า ฟังก์ชันต่างๆ ควบคุมด้วยปุ่มและสวิตช์แบบ physical ซึ่งบางคนอาจจะชอบมากกว่าเพราะใช้งานง่าย ไม่ต้องละสายตาไปจิ้มจอ
ความง่ายในการใช้: ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก ปุ่มต่างๆ ชัดเจน ไม่ต้องเรียนรู้อะไรเยอะ
ระบบซอฟต์แวร์: ไม่มีอะไรซับซ้อนตามสไตล์รถยุคนั้น เน้นฟังก์ชันพื้นฐาน
เสียงดัง/ความร้อน: เครื่องดีเซลยุคเก่าอาจมีเสียงและแรงสั่นสะเทือนอยู่บ้าง ไม่ได้เงียบกริบเหมือนรถดีเซลคอมมอนเรลสมัยใหม่ ความร้อนเครื่องยนต์ถ้าดูแลดีๆ ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้ามีปัญหาระบบหล่อเย็นนี่เรื่องใหญ่
ความสบายในการขับ/นั่ง: เบาะนั่งสูงสบาย ทัศนวิสัยดี ช่วงล่างให้ความรู้สึกมั่นคง แต่ความนุ่มนวลอาจจะไม่เท่ารถเก๋งนะ
5. แบตเตอรี่ / พลังงาน / ความคุ้มค่าระยะยาว: ความคลาสสิกที่มาพร้อมค่าดูแล
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาดีๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ Freelander TD4 มือสองนะ เพราะมันคือจุดที่ทำให้หลายคนถอย หรือรักแล้วต้องดูแลกันไปยาวๆ
ระยะเวลาการใช้งาน: เป็นรถใช้น้ำมันดีเซล ซึ่งเรื่องอัตราสิ้นเปลืองก็บอกไปแล้วว่าไม่ได้ประหยัดเท่าไหร่ ถังน้ำมันความจุประมาณ 59-70 ลิตร วิ่งได้ไกลแค่ไหนก็คำนวณจากอัตราสิ้นเปลืองที่ได้จริงเลย
ค่าใช้จ่ายระยะยาว: นี่แหละคือประเด็นหลัก! Land Rover ขึ้นชื่อเรื่องค่าบำรุงรักษาที่สูงกว่ารถญี่ปุ่นอยู่แล้ว ยิ่งเป็นรถอายุเยอะ ยิ่งต้องใส่ใจดูแลเป็นพิเศษ อะไหล่บางตัวอาจจะต้องเบิก หรือมีราคาสูง
- จุดที่ต้องระวังเป็นพิเศษ: ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยเฉพาะ VCU (Viscous Coupling Unit) และ IRD (Intermediate Reduction Drive) สองตัวนี้ถ้า VCU เสื่อมสภาพ (ซึ่งมักจะเป็นประมาณ 70,000 ไมล์ หรือ 100,000 กว่ากิโลเมตร ถ้าไม่เคยเปลี่ยนเลย) มันจะไปทำลาย IRD และเฟืองท้ายพังตามไปด้วย ค่าซ่อมนี่มีเหงื่อตกนะ!
- เครื่องยนต์ TD4: แม้จะถือว่าอึดกว่าเครื่องเบนซิน 1.8 ในรุ่นเดียวกัน แต่ก็มีปัญหาจุกจิกได้ เช่น ระบบหัวฉีด เซ็นเซอร์ต่างๆ หรือ Dual Mass Flywheel ที่สึกหรอตามอายุ
- ช่วงล่าง: บูชต่างๆ ลูกหมาก แร็คพวงมาลัย ก็มีโอกาสเสื่อมตามการใช้งานและอายุ
- ระบบไฟฟ้า: มอเตอร์กระจกไฟฟ้า ปัญหาน้ำเข้าซันรูฟ (ถ้ามี) ก็พบได้
วิเคราะห์ความคุ้มค่า: ถ้ามองเรื่องความประหยัดน้ำมันและค่าซ่อมจุกจิก Freelander TD4 อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุดในเชิงของตัวเลข SUV ญี่ปุ่นอายุใกล้เคียงกันอาจจะค่าดูแลน้อยกว่าเยอะ แต่ถ้าคุณหลงเสน่ห์ความคลาสสิก ชอบหน้าตา มีใจรักแบรนด์ Land Rover และพร้อมที่จะยอมรับเรื่องค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา หรือมีอู่ประจำที่เชี่ยวชาญ Land Rover โดยเฉพาะ รุ่นนี้ก็ยังให้ประสบการณ์ขับขี่และอรรถรสที่รถอื่นให้ไม่ได้นะ
6. ข้อดี-ข้อเสีย: ชั่งใจก่อนตัดสินใจ
มาสรุปกันแบบชัดๆ ทั้งข้อดีและข้อเสีย เพื่อประกอบการตัดสินใจ
ข้อดี:
- หน้าตาคลาสสิก มีสไตล์: ไม่เหมือนใครบนท้องถนน
- สมรรถนะการลุยดีกว่า SUV ในเมืองทั่วไป: ไปเที่ยวต่างจังหวัด ขึ้นเขา เข้าสวนได้สบายใจกว่า
- เครื่องยนต์ดีเซลแรงบิดดี: ขับขี่สนุก ไม่เหนื่อยเวลาเดินทางไกล
- นั่งขับสบาย ทัศนวิสัยเยี่ยม: เหมาะกับการขับทางไกล
- ราคาค่าตัวมือสองค่อนข้างจับต้องได้: ถ้าเจอคันสภาพดี ราคาไม่แรง ถือว่าคุ้มค่าตัวนะ
ข้อเสีย:
- ขึ้นชื่อเรื่องปัญหาจุกจิกและความน่าเชื่อถือ: โดยเฉพาะระบบขับเคลื่อน VCU/IRD นี่ตัวอันตรายเลย
- ค่าบำรุงรักษาและอะไหล่ค่อนข้างสูง: ต้องมีงบสำรองเผื่อซ่อม
- อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันไม่ประหยัดเท่าไหร่: เทียบกับรถสมัยใหม่
- เทคโนโลยีเก่าตามยุค: ไม่มีฟังก์ชันอำนวยความสะดวกแบบรถใหม่ๆ
- ราคาขายต่อ (ถ้าจะขายต่อ) อาจไม่สูงนัก: เว้นแต่สภาพดีจัดๆ
7. เหมาะกับใคร & คำแนะนำในการซื้อ: ใครใช่... ใครไม่ใช่?
จากทั้งหมดทั้งมวลที่เล่ามา Freelander TD4 คันนี้ เหมาะกับใครบ้าง?
- คนที่หลงใหลในความคลาสสิก: ชอบรถทรงนี้ ชอบแบรนด์ Land Rover เห็นแล้วใจละลาย
- คนที่มีรถใช้งานประจำอยู่แล้ว และอยากได้คันนี้เป็นรถคันที่สอง: เอาไว้ขับเล่น ออกทริปเบาๆ หรือใช้งานในวันหยุดที่ไม่รีบมากนัก
- คนที่ชอบรถยนต์ดีเซล และต้องการสมรรถนะการลุยที่ดีกว่า SUV ในเมืองทั่วไป: แต่ไม่ได้ต้องการไปปีนป่ายแบบรถออฟโรดจริงๆ
- คนที่มีความรู้เรื่องรถยนต์ หรือมีอู่ประจำที่ไว้ใจได้: หรือพร้อมจะศึกษาปัญหาและหาวิธีดูแลรักษาด้วยตัวเองบ้าง
- คนที่มีงบประมาณสำรองเผื่อซ่อมบำรุง: อันนี้สำคัญมากกกกก!
แล้วใครที่ไม่เหมาะ?
- คนที่ต้องการรถที่เชื่อถือได้มากๆ ไม่ค่อยมีปัญหาจุกจิก
- คนที่ใช้รถทุกวัน วิ่งงานหนัก ต้องการความสบายใจแบบ 100%
- คนที่ซีเรียสเรื่องอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันมากๆ
- คนที่ไม่มีงบประมาณเผื่อซ่อม หรือไม่มีอู่ที่เชี่ยวชาญรถยุโรป/Land Rover
ควรซื้อเลยไหม? ถ้าคุณอยู่ในกลุ่มที่ "เหมาะ" และเจอคันที่สภาพดี ประวัติการซ่อมชัดเจน ราคาเหมาะสม ก็น่าซื้อครับ แต่ถ้าคุณอยู่ในกลุ่มที่ "ไม่เหมาะ" หรือเจอคันที่ดูมีปัญหาเยอะๆ ถอยเลยครับ!!
คำแนะนำในการซื้อ: ถ้าจะซื้อจริงๆ เน้นดูสภาพรถเป็นหลัก!! โดยเฉพาะเรื่องเครื่องยนต์ (ฟังเสียง เดินเบาปกติไหม) เกียร์ (เปลี่ยนราบรื่นไหม) และที่สำคัญสุดคือระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ VCU และ IRD ถ้าเป็นไปได้ พาคนที่มีความรู้เรื่อง Land Rover ไปดูด้วย หรือเอาเข้าอู่เฉพาะทางให้เช็คอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ จะช่วยลดความเสี่ยง "ซื้อปุ๊บ ซ่อมปั๊บ" ได้เยอะ
8. เปรียบเทียบกับคู่แข่งร่วมยุค: พี่น้องต่างค่าย ใครดีกว่า?
ถ้าเทียบกับ SUV ญี่ปุ่นร่วมยุคอย่าง Honda CR-V (Gen 1-2), Toyota RAV4 (Gen 2), Nissan X-Trail (Gen 1) รุ่น TD4 ของ Freelander จะมีข้อได้เปรียบเรื่องสมรรถนะการลุยที่เหนือกว่าอย่างชัดเจน และความรู้สึกในการขับขี่ที่หนักแน่น มั่นคงกว่า รวมถึงภาพลักษณ์แบรนด์ที่พรีเมียมกว่า แต่ต้องแลกมากับความน่าเชื่อถือที่ด้อยกว่า และค่าบำรุงรักษาที่สูงกว่า
ถ้าเทียบกับ Land Rover Freelander 2 (โฉมปี 2006-2015) รุ่นพี่ TD4 Mk1 จะดูคลาสสิกกว่า ราคาถูกกว่า แต่ Freelander 2 จะได้เรื่องดีไซน์ที่ทันสมัยกว่า ขับขี่บนถนนดีขึ้น และที่สำคัญคือ มีความน่าเชื่อถือและปัญหาน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ ถ้างบถึง Freelander 2 น่าจะเป็นตัวเลือกที่สบายใจกว่าในระยะยาวนะ
9. บริการหลังการขายและช่องทางการซื้อ: หายากหน่อย แต่อู่ดีๆ ยังมี
ในฐานะรถมือสองอายุเยอะ บอกเลยว่าเรื่องบริการหลังการขายจากศูนย์บริการ Land Rover อย่างเป็นทางการคงไม่ใช่ทางเลือกหลักสำหรับหลายคน เพราะค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่ข่าวดีคือในไทยมีอู่ซ่อม Land Rover เฉพาะทาง หรืออู่ยุโรปที่ชำนาญรุ่นนี้อยู่หลายแห่ง ซึ่งค่าแรงและค่าอะไหล่จะย่อมเยากว่าศูนย์พอสมควร แต่ก็ต้องหาข้อมูลและเลือกอู่ที่ไว้ใจได้
ช่องทางการซื้อ: ส่วนใหญ่ก็ต้องหาตามเว็บไซต์ขายรถมือสองออนไลน์ หรือเต็นท์รถมือสองที่นำเข้ารถยุโรปเก่าเข้ามาขาย การซื้อจากผู้ขายโดยตรงที่รู้จักประวัติรถดีๆ อาจจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากกว่า
คำแนะนำเรื่องราคาและโปรโมชั่น: ราคา Freelander TD4 มือสองผันผวนตามสภาพและปีรถ ไม่มีโปรโมชั่นแบบรถใหม่ แต่ถ้าเจอช่วงที่เจ้าของร้อนเงิน อาจจะได้ราคาดีๆ ก็ได้ ที่สำคัญคือการต่อรองราคา และนำค่าใช้จ่ายที่อาจจะต้องซ่อมมาเป็นปัจจัยในการตัดสินใจ
10. บทสรุปและคำแนะนำในการซื้อ: ยังน่าใช้ไหม? ฟันธง!
มาถึงบทสรุปแล้ว คำถามที่ว่า Land Rover Freelander TD4 ยังน่าใช้อยู่ไหมในปีนี้?
คำตอบคือ... ยังน่าใช้ครับ... แต่!!!
ถ้าคุณ... เป็นคนรักรถคลาสสิก ชอบความมีสไตล์ของ Land Rover มีใจพร้อมที่จะดูแลเอาใจใส่ มีงบประมาณสำรองเผื่อซ่อมบำรุง หรือมีอู่คู่ใจที่เชี่ยวชาญรุ่นนี้อยู่แล้ว และไม่ได้ต้องการรถที่สมบูรณ์แบบ 100% ไม่มีปัญหาจุกจิกเลย... Freelander TD4 คันนี้ก็ยังเป็นรถที่น่าสนใจมากๆ ให้ประสบการณ์ขับขี่และภาพลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครในราคาที่จับต้องได้
แต่ถ้าคุณ... กำลังมองหารถที่ใช้งานทุกวันแบบไร้กังวล ไม่ชอบซ่อมรถ ไม่มีงบสำรอง หรือซีเรียสเรื่องค่าใช้จ่ายจุกจิก... Freelander TD4 อาจจะไม่ใช่คำตอบสำหรับคุณครับ ไปดู SUV ญี่ปุ่นร่วมยุค หรือขยับไป Freelander 2 อาจจะตอบโจทย์มากกว่า
สรุปง่ายๆ สั้นๆ คือ Land Rover Freelander TD4 เป็นรถคลาสสิกที่มีเสน่ห์ มีความสามารถ แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงเรื่องค่าดูแลรักษา ถ้ายอมรับข้อเสียได้และพร้อมที่จะรักและดูแลเค้าจริงๆ เค้าก็จะเป็นเพื่อนคู่ใจที่พาคุณไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ได้อย่างแน่นอนครับ!
แล้วเพื่อนๆ ล่ะครับ คิดยังไงกับ Land Rover Freelander TD4? เคยมีประสบการณ์ตรง หรือมีเรื่องราวสนุกๆ เกี่ยวกับรถรุ่นนี้ มาคอมเมนต์แชร์กันหน่อยเร็ววว!!
วิดีโอที่เกี่ยวข้อง
แนะนำสำหรับคุณ
รีวิว Charlotte Tilbury Magic Cream: ครีมบำรุงผิวตัวดัง ผิวอิ่มฟู ฉ่ำโกลว์จริงไหม?
Garmin GDR E530 รีวิวกล้องติดรถยนต์: ชัด ทน อุ่นใจทุกการเดินทางไหม?
รีวิว Adare Garden Pool Villas Pattaya: พูลวิลล่าส่วนตัว บรรยากาศดีจริงไหม?
รีวิว Collagen by Watsons สีม่วง: สูตรนี้ช่วยเรื่องอะไร? ลองแล้วเห็นผลจริงไหม
Bath & Body Works กลิ่นไหนหอม? รีวิวกลิ่นยอดนิยมทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
รีวิว MX10 Android TV Box: กล่องทีวีดูหนังฟังเพลง รุ่นเล็ก ราคาประหยัด ดีพอไหม?