ลำโพง Marshall Woburn II ราคาล่าสุดปี 2025 เสียงดีไซน์คลาสสิก พลังเสียงจัดเต็ม


สวัสดีจ้าพี่น้องชาวเน็ตผู้รักเสียงเพลงทุกท่าน! วันนี้แอดมาพร้อมกับลำโพงตัวตึง ดีไซน์สุดคลาสสิกที่เห็นแล้วกรี๊ด เห็นแล้วใจละลาย นั่นก็คือ Marshall Woburn II นั่นเอง! ใครที่กำลังมองหาลำโพงคู่บ้านที่เสียงดีถึงใจ ดีไซน์กินขาด แถมยังเหมาะกับทุกมุมของบ้าน มาฟังทางนี้ให้ไวเลยจ้า เพราะเราจะมาเจาะลึกทุกซอกทุกมุมของเจ้าตัวนี้กันแบบหมดเปลือก พร้อมชี้เป้าว่าปี 2025 นี้จะไปสอยที่ไหนให้คุ้มค่าที่สุด! เตรียมตัวเตรียมตังค์ แล้วไปลุยกันเลยยย!
1. ลำโพงตัวนี้มันคืออะไรกันแน่?
เอาล่ะ เริ่มต้นที่พระเอกของเรา Marshall Woburn II มันคือลำโพงบลูทูธไร้สายไซส์ใหญ่ ที่ต้องบอกว่า "พลังเสียงจัดเต็ม" สมชื่อจริงๆ จ้า จากแบรนด์ระดับตำนานอย่าง Marshall ซึ่งเป็นแบรนด์เครื่องเสียงจากประเทศอังกฤษที่อยู่คู่วงการเพลงร็อกแอนด์โรลมาตั้งแต่ปี 1962 แล้วนะ! ดีไซน์ของ Marshall เนี่ยเค้าได้แรงบันดาลใจมาจากตู้แอมป์กีตาร์สุดเก๋า เห็นปุ๊บรู้ปั๊บว่าเป็น Marshall แน่นอน ซึ่งเจ้า Woburn II ก็ถอดแบบความคลาสสิกมาเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นผิวสัมผัสลายหนัง, ตะแกรงหน้าลำโพงแบบ Salt & Pepper, โลโก้ Marshall สีทองอร่าม และแผ่นทองเหลืองที่สลักปี EST. 1962 เอาไว้ด้วย วางตรงไหนก็ดูดี มีสไตล์ เหมือนเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหรูเลยทีเดียวเชียว
ลำโพงตัวนี้ไม่ได้มีดีแค่หน้าตานะจ๊ะ แต่ให้เสียงที่ทรงพลังและหนักแน่นมากๆ ด้วยกำลังขับรวม 110 วัตต์ ประกอบด้วย Woofer ขนาด 5.25 นิ้ว 2 ตัว และ Tweeter ขนาด 1 นิ้ว 2 ตัว ขับเคลื่อนด้วย Class D Amplifier แยกกัน ทำให้ได้เสียงเบสที่ลงลึก เสียงกลางที่ชัดเจน และเสียงแหลมที่สดใส เหมาะสุดๆ สำหรับคนที่ชอบฟังเพลงหลากหลายแนว โดยเฉพาะแนวที่เน้นเบสหนักๆ หรือต้องการพลังเสียงมากๆ สำหรับเปิดในห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ จัดปาร์ตี้เล็กๆ ในบ้าน หรือใครทำร้านกาแฟ ร้านอาหาร ก็เอาไปสร้างบรรยากาศได้เริ่ดมาก
กลุ่มผู้ใช้ที่เหมาะกับ Woburn II ก็คือคนที่ต้องการลำโพงบ้านที่ให้เสียงคุณภาพสูง ดีไซน์สวยงามคลาสสิก และไม่เน้นการพกพาไปไหนมาไหน เพราะตัวนี้ต้องเสียบปลั๊กใช้งานตลอดนะจ๊ะ ไม่มีแบตเตอรี่ในตัว
2. ราคาในตลาดไทยเป็นยังไงบ้าง?
มาถึงเรื่องสำคัญที่ทำให้ใจสั่น นั่นก็คือ "ราคา" นั่นเอง! สำหรับ Marshall Woburn II ในตลาดไทยปี 2025 เนี่ย ราคามือหนึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 23,890 - 26,990 บาท (฿) โดยประมาณนะจ๊ะ ราคาก็อาจจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับร้านค้าและโปรโมชั่นในช่วงนั้นๆ
ถ้าอยากจะสอยเจ้า Woburn II เนี่ย แหล่งช้อปปิ้งออนไลน์ยอดฮิตอย่าง Lazada กับ Shopee ก็มีให้เลือกหลากหลายร้านเลย โดยเฉพาะร้านที่เป็น Marshall Official Store หรือร้านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในแพลตฟอร์มเหล่านี้ นอกจากนี้ ร้านค้าปลีกสินค้าไอทีและเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่าง Power Buy หรือ BaNANA IT ก็น่าจะมีวางขายเช่นกัน
บางครั้งเราอาจจะเจอราคาที่ถูกกว่านี้ในร้านค้าออนไลน์อื่นๆ หรือตามกลุ่มซื้อขายสินค้ามือสองนะ แต่ก็ต้องเช็คดีๆ เรื่องสภาพและประกันด้วย สำหรับราคานานาชาติกับราคาในไทย ส่วนใหญ่ก็จะมีความแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย ซึ่งเป็นเรื่องปกติของสินค้านำเข้าจ้า
3. แล้วเทียบกับรุ่นอื่นล่ะ ราคาโอเคมั้ย?
ถ้าเทียบกับลำโพง Marshall รุ่นอื่นๆ ในตระกูลเดียวกันอย่าง Stanmore II หรือ Acton II ต้องบอกว่า Woburn II เป็นรุ่นใหญ่สุดและมีกำลังขับสูงที่สุด ดังนั้นราคาก็จะสูงที่สุดตามไปด้วย ถ้ามองในแง่พลังเสียงและความสามารถในการเติมเต็มพื้นที่ขนาดใหญ่ Woburn II ถือว่าคุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไปเลยจ้า
เมื่อเทียบกับลำโพงแบรนด์อื่นในระดับราคาใกล้เคียงกันหรือที่มีฟังก์ชันคล้ายๆ กัน Marshall Woburn II อาจจะไม่ได้เน้นฟังก์ชันอัจฉริยะหวือหวาเท่าบางแบรนด์ แต่สิ่งที่ได้คือ คุณภาพเสียงที่ทรงพลังตามสไตล์ Marshall และ ดีไซน์ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ที่แบรนด์อื่นเลียนแบบได้ยาก ถ้าคุณให้ความสำคัญกับสองสิ่งนี้ Woburn II ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากๆ จ้า
4. ซื้อแล้วได้อะไรมาบ้างนะ?
เวลาซื้อ Marshall Woburn II มือหนึ่ง หลักๆ เลยก็จะได้ตัวลำโพงมาพร้อมสายไฟสำหรับเชื่อมต่อ และคู่มือการใช้งาน บางร้านค้าอาจจะมีแถมสาย AUX มาให้ด้วยนะจ๊ะ ส่วนเรื่อง ค่าขนส่ง ถ้าซื้อจากร้านค้าออนไลน์ส่วนใหญ่ก็จะมีโปรโมชั่น ส่งฟรี ให้ หรืออาจจะมีขั้นต่ำในการสั่งซื้อก็ต้องลองเช็คเงื่อนไขของแต่ละร้านดู
ส่วนเรื่อง การรับประกัน อันนี้สำคัญมากๆ สำหรับคนไทยที่ค่อนข้างกังวลเรื่องนี้ ถ้าซื้อจากร้านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทย หรือ Official Store บนแพลตฟอร์มออนไลน์ ส่วนใหญ่จะมาพร้อม ประกันศูนย์ไทย ระยะเวลา 1 ปี ซึ่งทำให้เราอุ่นใจได้เยอะเลยนะ หากมีปัญหาอะไรก็สามารถส่งซ่อมกับศูนย์บริการในประเทศได้เลย สะดวกกว่าการซื้อเครื่องหิ้วที่อาจจะไม่มีประกัน หรือต้องส่งไปซ่อมต่างประเทศนะจ๊ะ
บางช่วงโปรโมชั่น อาจจะมีของแถมเล็กๆ น้อยๆ เช่น คูปองส่วนลดสำหรับการซื้อครั้งต่อไป หรือสินค้าอื่นๆ จากแบรนด์ Marshall เอง ก็ต้องคอยติดตามข่าวสารจากร้านค้าต่างๆ ดูนะ
5. มีช่วงไหนน่าซื้อเป็นพิเศษมั้ย?
ถ้าอยากได้ราคาดีๆ แบบสบายกระเป๋าหน่อย ช่วง โปรโมชั่น นี่แหละคือเวลาทองเลยจ้า! ร้านค้าออนไลน์ต่างๆ ในไทยมักจะจัดโปรโมชั่นลดราคาบ่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญๆ หรือวันช้อปปิ้งใหญ่ๆ เช่น:
- ช่วงปีใหม่ไทย (สงกรานต์): มักจะมีโปรโมชั่นรับลมร้อน ลดราคาต้อนรับปีใหม่ไทย
- ช่วง Double Digit Sale: เช่น 6.6, 7.7, 8.8, 9.9, 10.10, 11.11 และ 12.12 บน Lazada และ Shopee ช่วง 11.11 และ 12.12 นี่ถือเป็นไฮไลท์เลยนะ ลดหนัก จัดเต็มที่สุด!
- ช่วงปลายปี/ต้นปี: มักจะมีโปรโมชั่นต้อนรับปีใหม่ หรือโปรโมชั่นเคลียร์สต็อก
- วันหยุดยาวอื่นๆ: เช่น วันแรงงาน วันรัฐธรรมนูญ อาจจะมีโปรโมชั่นพิเศษ
นอกจากนี้ ลองติดตามร้านค้าที่เป็น Official Store ของ Marshall บน Lazada หรือ Shopee ดูนะ เค้ามักจะมีโค้ดส่วนลดพิเศษ หรือโปรโมชั่น Flash Sale ออกมาเรื่อยๆ การกดติดตามร้านค้าเอาไว้ก็ช่วยให้ไม่พลาดโปรโมชั่นดีๆ จ้า สรุปคือ ถ้าไม่รีบใช้มากๆ รอช่วงโปรโมชั่นใหญ่ๆ เนี่ย มีโอกาสได้ราคาที่ถูกลงไปอีกเยอะเลยนะตัวเธอ!
6. คนไทยใช้แล้วรู้สึกยังไงกันบ้างนะ?
จากที่แอดลองไปส่องๆ ดูรีวิวและความคิดเห็นของคนไทยที่ใช้ Marshall Woburn II เนี่ย เสียงตอบรับส่วนใหญ่คือ "ดีงาม" เลยจ้า จุดที่คนไทยเลิฟมากๆ เลยก็คือ:
- พลังเสียงสะใจ: หลายคนบอกว่าเสียงดังกระหึ่ม เบสแน่น ฟังสนุก เหมาะกับการฟังเพลงหลากหลายแนว โดยเฉพาะแนวที่ต้องการพลังเสียงมากๆ
- ดีไซน์สวยคลาสสิก: อันนี้เป็นจุดเด่นที่หลายคนยกให้เลย เห็นแล้วชอบ ดูหรูหรา วางตรงไหนก็สวย เหมือนเป็นของแต่งบ้านชิ้นนึงเลย
- เสียงดีตามสไตล์ Marshall: มีคาแรคเตอร์เสียงที่เป็นเอกลักษณ์ บางคนบอกว่าให้ความรู้สึกเหมือนฟังดนตรีสด ปรับเสียงเบสแหลมได้ตามใจชอบด้วยปุ่มหมุนด้านบน
- วัสดุทนทาน: ตัวลำโพงทำจากวัสดุคุณภาพดี ดูแข็งแรงทนทาน
มีบางรีวิวที่บอกว่าเสียงกลางอาจจะถอยไปหน่อย หรือเสียงแหลมอาจจะไม่ใสเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับการตั้งค่า EQ แบบ Flat แต่ก็สามารถปรับปรุงได้ด้วยการปรับ EQ ที่ตัวลำโพงเอง หรือผ่านแอป Marshall Bluetooth นะจ๊ะ โดยรวมแล้ว คนไทยที่ซื้อ Woburn II ส่วนใหญ่จะพอใจกับ พลังเสียงที่ดีเยี่ยม และ ดีไซน์ที่โดดเด่น มากๆ จ้า
7. แล้วจะไปหาซื้อได้ที่ไหนล่ะทีนี้?
สำหรับช่องทางการซื้อ Marshall Woburn II ในไทยที่แนะนำก็มีอยู่หลายช่องทางเลยจ้า:
- ร้านค้าอย่างเป็นทางการ (Official Store): อันนี้ชัวร์สุดเรื่องสินค้าของแท้และประกันศูนย์นะจ๊ะ ลองดูที่เว็บไซต์หลักของ Marshall Thailand หรือค้นหา Official Store บนแพลตฟอร์มอย่าง Lazada และ Shopee ข้อดีคือมั่นใจได้เรื่องคุณภาพสินค้าและการบริการหลังการขาย
- ร้านค้าปลีกสินค้าไอทีและเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่: เช่น Power Buy, BaNANA IT, JIB (บางสาขาหรือบนเว็บไซต์) ร้านเหล่านี้มักจะมีโปรโมชั่นผ่อนชำระได้ด้วยนะ ข้อดีคือบางทีเราสามารถไปดูสินค้าจริง ลองฟังเสียงได้ (ถ้ามีสินค้าให้ลอง) และมีพนักงานให้คำแนะนำ แต่ราคาอาจจะไม่ได้ถูกที่สุดเสมอไป
- ร้านตัวแทนจำหน่ายอื่นๆ: นอกจากร้านใหญ่ๆ ก็ยังมีร้านเครื่องเสียง หรือร้านอุปกรณ์ไอทีอื่นๆ ที่เป็นตัวแทนจำหน่าย Marshall ด้วย ลองเช็คจากเว็บไซต์ Marshall Thailand เพื่อหารายชื่อร้านตัวแทนจำหน่ายที่เชื่อถือได้
- แพลตฟอร์ม E-commerce ขนาดใหญ่: Lazada และ Shopee เป็นแหล่งรวมร้านค้าเยอะมากๆ ทั้ง Official Store และร้านอื่นๆ ข้อดีคือมีตัวเลือกเยอะ เปรียบเทียบราคาได้ง่าย สะดวก มีระบบการชำระเงินและขนส่งที่หลากหลาย และมักจะมีโปรโมชั่นลดราคาบ่อยๆ แต่ก็ต้องเลือกร้านที่น่าเชื่อถือ มีรีวิวดีๆ นะจ๊ะ บางทีอาจจะมีร้านที่ขายเครื่องหิ้วซึ่งอาจจะไม่มีประกันศูนย์ไทย ต้องตรวจสอบให้ดีก่อนซื้อ
สำหรับราคาในแต่ละช่องทาง ก็อาจจะมีความแตกต่างกันบ้างนะจ๊ะ แต่โดยรวมแล้ว ถ้ารอช่วงโปรโมชั่นใหญ่ๆ การซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ทั้ง Official Store หรือแพลตฟอร์ม E-commerce ก็น่าจะได้ราคาที่ดีและมีโปรโมชั่นน่าสนใจจ้า
8. สรุปแล้วน่าซื้อไหม? เหมาะกับใคร?
มาถึงช่วงสรุปกันแล้ว! ถามว่า Marshall Woburn II ในปี 2025 ยังน่าสอยอยู่ไหม? แอดบอกเลยว่า น่าสอยมากๆ จ้า โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นคนที่:
- รักเสียงเพลงและต้องการคุณภาพเสียงที่ดีมากๆ พร้อมพลังเสียงที่ดังกระหึ่ม
- ชอบดีไซน์ลำโพงสไตล์คลาสสิก วินเทจ ที่ดูเป็นเฟอร์นิเจอร์แต่งบ้านไปในตัว
- มีพื้นที่ในบ้านค่อนข้างใหญ่ และต้องการลำโพงที่ให้เสียงครอบคลุมทั่วถึง
- ไม่ได้เน้นการพกพาลำโพงไปไหนมาไหน แต่ต้องการลำโพงประจำบ้านคุณภาพสูง
Marshall Woburn II ตอบโจทย์เหล่านี้ได้อย่างลงตัวเลยจ้า! มันให้ ความคุ้มค่า ในแง่ของ คุณภาพเสียงและดีไซน์ ในราคาที่สมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่ได้รับนะ
ส่วนจะเลือกรุ่น Woburn II หรือขยับไป Woburn III รุ่นใหม่กว่าดี? อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับงบและความต้องการเลยจ้า Woburn III อาจจะมีฟังก์ชันที่ใหม่กว่า เช่น การรองรับ Bluetooth LE Audio หรือการเชื่อมต่อที่อัปเกรดขึ้น แต่ Woburn II ก็ยังคงให้เสียงที่ทรงพลังและดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ในราคาที่อาจจะเข้าถึงง่ายกว่า (โดยเฉพาะถ้าเจอโปรโมชั่นดีๆ) ถ้าคุณไม่ได้ต้องการฟังก์ชันใหม่ล่าสุด และพอใจกับประสิทธิภาพของ Woburn II ก็ถือเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ามากๆ แล้วจ้า! แต่ถ้ามีงบถึงและอยากได้ฟังก์ชันที่อัปเดตที่สุด ก็ลองดู Woburn III ได้เลย
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เพื่อนๆ ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นนะจ๊ะ ใครที่กำลังเล็ง Marshall Woburn II อยู่ ขอให้ได้น้องมาไว้ในอ้อมกอดไวๆ แล้วมาเปิดเพลงร็อกให้บ้านสะเทือนกันไปเลยยย! สวัสดีจ้า!
วิดีโอที่เกี่ยวข้อง
- รีวิว Marshall Woburn II - ดังหูแตก เสียงดี เล่นกีต้าร์ได้ ราคา 26990 ...
- รีวิว Marshall รุ่น Woburn II ลำโพงบลูทูธดีไซน์สวยหรูจากแบรนด์ดัง ...
- รีวิว Marshall Woburn II ลำโพงเสียงแน่น เสียงหนัก ทดสอบดูหนัง ...
- รีวิว Marshall Woburn II ลำโพงเสียงแน่น เสียงหนัก ทดสอบดูหนัง ...
- สัมผัสประสบการณ์ใหม่กับลำโพง Marshall จาก 4 หนุ่ม BUS
แนะนำสำหรับคุณ
รีโนเวทบ้านเก่า ราคาถูก งบจำกัด ปี 2025 ทำเองได้ง่ายๆ เปลี่ยนบ้านให้เหมือนใหม่
กางเกงยีนส์ Denim Co ราคาเท่าไหร่? ยีนส์ H&M คุณภาพดี ราคาเข้าถึงง่าย
ลำโพงบลูทูธ Ultimate Ears Wonderboom ราคาล่าสุดปี 2025 เสียงดี กันน้ำไหม?
ปืนยาว .22 CZ 457 MTR ราคาล่าสุดปี 2025 ปืนแม่นยำสำหรับยิงเป้า
ราคายางรถยนต์ Yokohama ปี 2025 ยางสปอร์ต นุ่มเงียบ รุ่นไหนน่าใช้?
Router D-Link DSL-2730U ราคาเท่าไหร่? เราเตอร์ ADSL คุณภาพดี ราคาเบาๆ