ถังออกซิเจนทางการแพทย์ ราคาเท่าไหร่? พร้อมแนะนำขนาดและร้านจำหน่าย


สวัสดีครับทุกคน! วันนี้เราจะมาเจาะลึกเรื่อง ถังออกซิเจนทางการแพทย์ ที่หลายคนกำลังให้ความสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วย ผู้สูงอายุ หรือแม้แต่ผู้ที่ต้องการสำรองไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน เราจะมาดูกันว่าถังออกซิเจนมีราคาเท่าไหร่ มีขนาดไหนให้เลือกบ้าง และควรเลือกซื้อจากร้านค้าแบบไหน เพื่อให้ได้สินค้าที่คุ้มค่าและปลอดภัยที่สุด ตามมาดูกันเลย!
1. ถังออกซิเจนทางการแพทย์คืออะไร? เหมาะกับใคร?
ถังออกซิเจนทางการแพทย์ หรือ Oxygen Tank เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ใช้สำหรับบรรจุก๊าซออกซิเจนบริสุทธิ์ที่มีความเข้มข้นสูงถึง 99% เพื่อนำส่งให้กับผู้ป่วยที่มีภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD), ผู้ป่วยโรคปอดบวม, มะเร็งปอด, หรือแม้แต่ผู้ป่วยที่ต้องฟื้นฟูร่างกายหลังการเจ็บป่วยหนัก รวมถึงผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีภาวะหายใจลำบาก.
หน้าที่หลักของถังออกซิเจนคือช่วยให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์สมอง กล้ามเนื้อ และตับ ได้รับออกซิเจนเพียงพอ เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเหนื่อยล้า และช่วยให้ผู้ป่วยหายใจได้สะดวกขึ้น. แตกต่างจากเครื่องผลิตออกซิเจนตรงที่ถังออกซิเจนไม่สามารถผลิตออกซิเจนได้เอง แต่จะบรรจุออกซิเจนมาเต็มถังพร้อมใช้งานทันที.
สำหรับแบรนด์ถังออกซิเจนนั้น มักจะไม่ได้มีแบรนด์ต่างประเทศที่โดดเด่นเหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป แต่จะเน้นที่มาตรฐานการผลิตและคุณภาพของถัง เช่น มาตรฐานสากล ISO 7866:2012 และ CE Mark สำหรับถังอลูมิเนียมพกพา. ถังออกซิเจนทางการแพทย์ในประเทศไทยจะต้องเป็นถังสีเขียวและมีสัญลักษณ์ มอก.540-2555 เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน.
2. ช่วงราคาถังออกซิเจนทางการแพทย์ในตลาดไทย
ราคาของถังออกซิเจนทางการแพทย์ในตลาดไทยมีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับขนาด ความจุของถัง และอุปกรณ์เสริมที่มาพร้อมชุด โดยทั่วไปแล้ว ถังออกซิเจนจะมีหน่วยวัดเป็น "คิว" (ลูกบาศก์เมตร) หรือ "ลิตร" ซึ่ง 1 คิว จะเทียบเท่ากับประมาณ 6.7 ลิตร ดังนั้น ถัง 0.5 คิว จะอยู่ที่ประมาณ 3.4 ลิตร และ 1.5 คิว จะอยู่ที่ประมาณ 10 ลิตร.
ราคาสำหรับถังออกซิเจนเปล่าจะแตกต่างกันไป แต่ถ้าเป็นชุดพร้อมใช้งานที่มักจะประกอบด้วยถังออกซิเจน (มีก๊าซอยู่แล้ว), เกจ์ปรับแรงดันออกซิเจน, สายให้ออกซิเจน (Nasal Cannula), และกระบอกทำความชื้น จะมีช่วงราคาดังนี้:
- ถังขนาด 0.5 คิว (ประมาณ 3.4 - 4 ลิตร): ราคาเริ่มต้นประมาณ 1,200 - 4,400 บาท. บางชุดพร้อมอุปกรณ์อาจอยู่ที่ 1,650 บาท.
- ถังขนาด 1.5 คิว (ประมาณ 10 ลิตร): เป็นขนาดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด. ราคาพร้อมใช้งานจะอยู่ที่ประมาณ 1,499 - 4,900 บาท. บางร้านมีชุดพร้อมเกจ์และรถเข็นที่ 1,890 - 3,650 บาท.
- ถังขนาด 2 คิว (ประมาณ 13.4 ลิตร): ราคาประมาณ 2,050 - 6,300 บาทสำหรับถังเปล่า และ 5,200 - 7,300 บาทสำหรับชุดพร้อมอุปกรณ์.
- ถังขนาด 6 คิว (ประมาณ 40 ลิตร): เป็นถังขนาดใหญ่ที่ใช้ในบ้าน ราคาประมาณ 3,000 - 8,200 บาทสำหรับถังเปล่า และสูงถึง 15,190 - 17,500 บาทสำหรับชุดพร้อมอุปกรณ์.
สามารถหาซื้อได้ตามแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซหลักอย่าง Shopee และ Lazada รวมถึงร้านค้าออนไลน์ที่จำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์โดยเฉพาะ. สำหรับสินค้าประเภทนี้ มักจะไม่พบในร้านค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปอย่าง JIB, Banana IT, Power Buy, Central, Big C, The Mall เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์เฉพาะทาง. การเปรียบเทียบราคาบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจะช่วยให้เห็นความหลากหลายและราคาที่แข่งขันกันอย่างชัดเจน.
3. เปรียบเทียบราคากับสินค้าประเภทเดียวกัน
เมื่อพูดถึงการให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วย นอกเหนือจากถังออกซิเจนแล้ว ยังมี เครื่องผลิตออกซิเจน (Oxygen Concentrator) ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความนิยม. การเปรียบเทียบราคาและข้อดีข้อเสียจะช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น:
- ถังออกซิเจน: มีข้อดีคือความเข้มข้นของออกซิเจนสูงถึง 99% และสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องใช้ไฟฟ้า ทำให้สะดวกสำหรับการพกพา หรือใช้ในรถระหว่างเดินทาง. อย่างไรก็ตาม ข้อเสียคือมีปริมาณออกซิเจนจำกัด เมื่อหมดต้องนำไปเติม ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายและเสียเวลาในระยะยาวมากกว่า. ราคาเริ่มต้นของชุดถังออกซิเจนพร้อมอุปกรณ์จะอยู่ที่หลักพันบาทตามที่กล่าวมาข้างต้น.
- เครื่องผลิตออกซิเจน: สามารถผลิตออกซิเจนได้เองจากอากาศรอบข้าง ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการเติมออกซิเจนบ่อยๆ และประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว. แต่มีข้อจำกัดคือต้องใช้ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน (ยกเว้นรุ่นพกพาที่ใช้แบตเตอรี่ได้) และความเข้มข้นของออกซิเจนจะอยู่ที่ประมาณ 90-93% (ที่อัตราการไหล 1 ลิตร/นาที) ซึ่งอาจลดลงเมื่อปรับอัตราการไหลสูงขึ้น. ราคาของเครื่องผลิตออกซิเจนจะสูงกว่าถังออกซิเจนมาก โดยเริ่มต้นที่หลักหมื่นบาทไปจนถึงหลายหมื่นบาท (เช่น เครื่องผลิตออกซิเจน 3 ลิตร เริ่มต้นที่ 14,250 บาท และ 5 ลิตร เริ่มต้นที่ 19,900 - 25,900 บาท).
ดังนั้น หากพิจารณาจากราคาเริ่มต้น ถังออกซิเจนทางการแพทย์จะมีราคาที่ย่อมเยาและเข้าถึงได้ง่ายกว่า สำหรับการใช้งานชั่วคราว การพกพา หรือเป็นอุปกรณ์สำรองในยามฉุกเฉิน. แต่หากเป็นการใช้งานต่อเนื่องระยะยาว เครื่องผลิตออกซิเจนอาจคุ้มค่ากว่าในแง่ของค่าใช้จ่ายในการเติมก๊าซ.
4. อุปกรณ์เสริมและบริการที่รวมมา
เมื่อซื้อถังออกซิเจนทางการแพทย์ โดยส่วนใหญ่แล้วชุดสำเร็จรูปที่วางจำหน่ายมักจะมาพร้อมกับอุปกรณ์ที่จำเป็นครบชุด เพื่อให้สามารถใช้งานได้ทันที ซึ่งมักจะประกอบด้วย:
- ถังออกซิเจน: บางชุดจะมาพร้อมก๊าซออกซิเจนเต็มถัง.
- เกจ์ปรับแรงดันออกซิเจน: เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ใช้ควบคุมอัตราการไหลของออกซิเจน และแสดงปริมาณออกซิเจนที่เหลืออยู่ในถัง. เกจ์ทางการแพทย์จะต้องเป็นหัวที่ได้มาตรฐาน CGA 540 เท่านั้น.
- กระบอกทำความชื้น: ใช้สำหรับใส่น้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว หรือน้ำสะอาดปราศจากเชื้อโรค เพื่อเพิ่มความชื้นให้กับออกซิเจนก่อนส่งผ่านสายไปยังผู้ป่วย ป้องกันอาการจมูกแห้งหรือระคายเคือง.
- สายให้ออกซิเจน: มักจะเป็นสายแบบ Nasal Cannula (สายเสียบจมูก) ความยาวประมาณ 2 เมตร ซึ่งเหมาะสำหรับการให้ออกซิเจนในอัตรา 1-5 ลิตรต่อนาที.
- รถเข็นถังออกซิเจน: สำหรับถังขนาด 1.5 คิวขึ้นไป มักจะมีรถเข็นมาให้ เพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้าย เนื่องจากถังมีน้ำหนักพอสมควร.
- แหวนปากตาย: สำหรับเปิด-ปิดวาล์วถังออกซิเจน.
ในด้านบริการ ส่วนใหญ่ร้านค้าที่จำหน่ายถังออกซิเจนทางการแพทย์ มักจะมีบริการที่สำคัญดังนี้:
- ค่าขนส่ง: ร้านค้าหลายแห่งมีบริการจัดส่งฟรีทั่วประเทศ โดยเฉพาะสำหรับชุดถังออกซิเจนขนาดใหญ่.
- ระยะเวลารับประกัน: สินค้าประเภทถังออกซิเจนและอุปกรณ์ประกอบมักจะมีการรับประกันตัวถังและเกจ์ อย่างน้อย 1 ปี. บางร้านอาจรับประกันตัวถัง 2 ปี. การรับประกันเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้บริโภคชาวไทยให้ความสนใจอย่างมาก เนื่องจากช่วยสร้างความมั่นใจในคุณภาพและบริการหลังการขาย.
- บริการให้คำปรึกษา/หลังการขาย: ร้านค้าที่มีความน่าเชื่อถือมักจะมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำในการใช้งาน และมีศูนย์ซ่อมบำรุงบริการ.
- ของแถม/โปรโมชั่น: บางครั้งอาจมีของแถมเล็กน้อย หรือโปรโมชั่นส่วนลดร่วมกับการซื้อเป็นชุด.
5. โปรโมชั่นและคำแนะนำการซื้อ
การซื้อถังออกซิเจนทางการแพทย์ให้คุ้มค่า สามารถทำได้โดยการติดตามโปรโมชั่นต่างๆ ที่จัดขึ้นตามช่วงเวลาสำคัญ โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่:
- ช่วงเทศกาลและแคมเปญ Double Digit Sale: เช่น 9.9, 10.10, 11.11, และ 12.12 บน Lazada และ Shopee มักจะมีส่วนลดพิเศษ โค้ดส่วนลด และโปรโมชั่นส่งฟรี. นอกจากนี้ เทศกาลสำคัญของไทยอย่างสงกรานต์ หรือปีใหม่ ก็อาจมีโปรโมชั่นจากร้านค้าเช่นกัน.
- ร้านค้าระดับแฟลกชิพ/ร้านแนะนำ: บน Shopee และ Lazada มักจะมีร้านที่ได้รับตราสัญลักษณ์ "ร้านแนะนำ" หรือ "Shopee Mall/LazMall" ซึ่งมักจะมีโปรโมชั่นบ่อยครั้ง มีการรับประกันสินค้าที่ดีกว่า และบริการหลังการขายที่น่าเชื่อถือ.
- การเก็บโค้ดส่วนลด: ทั้งบน Shopee และ Lazada มีระบบโค้ดส่วนลดจากร้านค้า หรือโค้ดส่วนลดจากแพลตฟอร์มเอง ซึ่งสามารถนำมาใช้ร่วมกับการซื้อถังออกซิเจนเพื่อลดราคาได้อีก (เช่น โค้ดเงินคืน 25%).
คำแนะนำการซื้อ: หากไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน ควรรอช่วงโปรโมชั่นใหญ่ๆ เพื่อให้ได้ราคาที่คุ้มค่าที่สุด โดยหมั่นตรวจสอบโปรโมชั่นจากร้านค้าที่น่าเชื่อถือบนแพลตฟอร์มออนไลน์. การซื้อเป็นชุดพร้อมอุปกรณ์จะคุ้มค่ากว่าการซื้อแยกชิ้น และอย่าลืมสอบถามเรื่องการรับประกันและบริการหลังการขายให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจซื้อ.
6. รีวิวและฟีดแบ็กจากผู้ใช้ในไทย
จากฟีดแบ็กของผู้ใช้งานในประเทศไทยเกี่ยวกับถังออกซิเจนทางการแพทย์ที่พบเห็นบนแพลตฟอร์มออนไลน์และเว็บบอร์ดต่างๆ สามารถสรุปจุดที่ผู้บริโภคชื่นชอบได้ดังนี้:
- ความสะดวกในการใช้งาน: ผู้ใช้ส่วนใหญ่ชื่นชอบที่ถังออกซิเจนใช้งานง่าย สามารถเปิด-ปิดและปรับอัตราการไหลได้ไม่ซับซ้อน โดยเฉพาะชุดที่มาพร้อมอุปกรณ์ครบ.
- ขนาดกะทัดรัด (สำหรับถังพกพา): ถังขนาดเล็ก 0.5 คิว หรือถังอลูมิเนียมพกพา ได้รับการตอบรับที่ดีในเรื่องของน้ำหนักเบาและเคลื่อนย้ายง่าย เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ต้องเดินทางหรือใช้เป็นครั้งคราว.
- คุณภาพของออกซิเจน: ผู้ใช้มีความมั่นใจในความบริสุทธิ์ของออกซิเจนที่สูงถึง 99% ซึ่งเป็นมาตรฐานทางการแพทย์.
- ความคุ้มค่า (ในระยะสั้น/ฉุกเฉิน): เมื่อเทียบกับเครื่องผลิตออกซิเจน ถังออกซิเจนมีราคาเริ่มต้นที่ถูกกว่า ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด หรือต้องการใช้แค่สำรองในยามฉุกเฉิน.
- บริการจัดส่ง: หลายร้านมีบริการจัดส่งฟรีและรวดเร็ว ทำให้ผู้ป่วยได้รับอุปกรณ์ได้ทันท่วงที.
อย่างไรก็ตาม บางรีวิวก็สะท้อนถึงข้อจำกัด เช่น ความจำเป็นในการเติมออกซิเจนเมื่อหมด และน้ำหนักของถังเหล็กขนาดใหญ่ที่อาจเคลื่อนย้ายลำบากหากไม่มีรถเข็น. โดยรวมแล้ว ผู้ใช้งานในไทยให้ความสำคัญกับความสะดวกในการใช้งาน ความครบครันของอุปกรณ์ และบริการหลังการขายที่ดี.
7. ช่องทางการซื้อที่แนะนำ
การเลือกซื้อถังออกซิเจนทางการแพทย์ควรพิจารณาจากความน่าเชื่อถือของร้านค้า การรับประกัน และบริการหลังการขายเป็นหลัก ช่องทางที่แนะนำได้แก่:
- แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่:
- Shopee และ Lazada: เป็นช่องทางที่สะดวกสบายที่สุด มีร้านค้าจำหน่ายหลากหลาย สามารถเปรียบเทียบราคา อ่านรีวิวจากผู้ใช้จริง และใช้โค้ดส่วนลดได้ ข้อควรระวังคือควรเลือกร้านค้าที่มีคะแนนรีวิวสูง มีการรับประกัน และรายละเอียดสินค้าชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน.
- ร้านค้าออนไลน์/เว็บไซต์ผู้จัดจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์โดยตรง:
- เว็บไซต์อย่าง Rakmor.com, Now Oxygen, Adler Medical Supply, Lee Oxygen, Tankoxygen เป็นต้น: มักจะเป็นศูนย์รวมอุปกรณ์ทางการแพทย์ มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำ มีบริการหลังการขายที่ดีกว่า และมีข้อมูลสินค้าที่ละเอียดครบถ้วน ทำให้มั่นใจในคุณภาพและมาตรฐานของสินค้าได้มากกว่า. บางแห่งมีบริการจัดส่งฟรีทั่วประเทศ และมีบริการเติมก๊าซให้ด้วย.
- ร้านค้าปลีกอุปกรณ์ทางการแพทย์:
- ร้านค้าที่มีหน้าร้านจริงในพื้นที่ต่างๆ: ข้อดีคือสามารถเข้าไปดูสินค้าจริง สอบถามข้อมูลจากพนักงาน และรับสินค้าได้ทันที แต่ราคาอาจสูงกว่าการซื้อออนไลน์ และมีตัวเลือกจำกัด.
สำหรับการซื้อถังออกซิเจนทางการแพทย์นั้น ร้านค้าอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปเช่น JIB หรือ Power Buy จะไม่มีจำหน่าย เนื่องจากเป็นสินค้าเฉพาะทางด้านการแพทย์.
8. สรุปหรือคำแนะนำเรื่องราคา
โดยสรุปแล้ว ถังออกซิเจนทางการแพทย์ เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นและมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะขาดออกซิเจน หรือต้องการใช้เพื่อพยุงอาการ. ราคาของถังออกซิเจนจะแตกต่างกันไปตามขนาดและอุปกรณ์ที่รวมในชุด โดยมีตั้งแต่หลักพันบาทสำหรับถังขนาดเล็กพร้อมอุปกรณ์ ไปจนถึงหลักหมื่นบาทสำหรับถังขนาดใหญ่พร้อมอุปกรณ์ครบชุด.
ความคุ้มค่า: ถังออกซิเจนถือว่าคุ้มค่าสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานในระยะเวลาไม่นาน ต้องการพกพา หรือใช้เป็นอุปกรณ์สำรองฉุกเฉิน เนื่องจากมีราคาเริ่มต้นที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าเครื่องผลิตออกซิเจน. นอกจากนี้ ยังให้ความเข้มข้นของออกซิเจนที่สูงถึง 99% ซึ่งเป็นจุดเด่นที่สำคัญ.
แนะนำใครควรซื้อรุ่นไหน:
- สำหรับผู้ใช้งบประมาณจำกัด หรือต้องการพกพา/สำรองฉุกเฉิน: แนะนำถังขนาด 0.5 คิว (ประมาณ 3.4 - 4 ลิตร) หรือ 1.5 คิว (ประมาณ 10 ลิตร). ขนาดเหล่านี้มีน้ำหนักเบาพอสมควร (โดยเฉพาะถังอลูมิเนียม) และมีราคาที่เป็นมิตร พร้อมใช้งานได้ทันที เหมาะสำหรับพกพาไปนอกบ้าน หรือใช้ในช่วงที่ไฟดับ.
- สำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานในบ้านเป็นหลัก หรือใช้ในปริมาณมาก: แนะนำถังขนาด 2 คิว (ประมาณ 13.4 ลิตร) หรือ 6 คิว (ประมาณ 40 ลิตร). ถังขนาดใหญ่จะให้ออกซิเจนได้นานกว่า ลดความถี่ในการเติมก๊าซ แต่ก็มีน้ำหนักมาก จำเป็นต้องใช้รถเข็นในการเคลื่อนย้าย.
ไม่ว่าจะเลือกรุ่นใด สิ่งสำคัญคือการเลือกซื้อจากร้านค้าที่น่าเชื่อถือ มีการรับประกันสินค้า และมีบริการหลังการขายที่ดี เพื่อให้มั่นใจได้ว่าคุณจะได้รับถังออกซิเจนทางการแพทย์ที่มีคุณภาพและปลอดภัยสำหรับการใช้งาน. การปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดอัตราการไหลของออกซิเจนที่เหมาะสมกับผู้ป่วยก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน.
วิดีโอที่เกี่ยวข้อง
- 11 reactions · 10 comments | #ถังออกซิเจนทางการแพทย์ ที่ร้าน ...
- 14 reactions · 3 comments | #ถังออกซิเจนทางการแพทย์ ที่ร้าน ...
- เครื่องผลิตออกซิเจนแบบพกพาตัวช่วยท่ามกลางวิกฤต COVID-19 ...
- แนะนำการใช้งาน ชุดถังออกซิเจนช่วยหายใจ สำหรับใช้งานเองได้ที่บ้าน
- ใช้ "ถังออกซิเจน" ให้ถูกวิธี เมื่อต้อง Home isolation
แนะนำสำหรับคุณ
ราคา iPhone 12 ล่าสุด โปรโมชั่น และเคล็ดลับการซื้อ ปี 2025
Apple AirPort Time Capsule ราคาเท่าไหร่? คุ้มไหมที่จะซื้อปี 2024?
ราคาพระเครื่อง หลวงพ่อนุ้ย วัดม่วง สุราษฎร์ธานี รุ่น 1: รุ่นนิยม หายาก ราคาพุ่ง
ราคา Jeep Wrangler Rubicon: รถ Off-Road ในตำนาน พร้อมลุยทุกเส้นทาง
นาฬิกา Patek Philippe Twenty 4 ราคาล่าสุด รุ่นยอดฮิต
อัปเดตราคา DSP Alpine ติดตั้งในรถยนต์ คุณภาพเสียงเหนือระดับ